Sunday, April 18, 2010

"เวนเกอร์"รับ"ปืน"มันแย่วืดแชมป์แน่


"เรดแนปป์"มั่นใจ"ไก่"ที่4แฉตั๋วบอลโลกเหลืออื้อ!

“เวนเกอร์” โยนผ้า ยอมรับ “ปืนใหญ่” หมดลุ้นแชมป์ ขณะที่ “เรดแนปป์” สุดคึก มั่นใจ “ไก่เดือยทอง” มีลุ้นที่ 4 พร้อมชม “หนูโรส” ยิงลูกสุดมหัศจรรย์ ฝั่ง “เดอะ ซัน” เผยข่าวช็อก ตั๋วบอลโลกเหลืออีกบานกว่าครึ่งล้านใบ ระบุยังไม่มีเกมไหนขายหมด แม้แต่นัดชิง ส่วน “ผีแดง” เล็ง “ยอริส” โกลน้ำหอม สืบทอดบัลลังก์ “น้าซาร์” คาดพร้อมทุ่มถึง 750 ล้าน ด้าน “บาร์ซา” เทพไม่เลิก เปิดรังยำ “เดปอร์” 3-0 นำโด่ง 6 แต้ม “เปป” กระตุ้นเด็ก ห้ามเหลิง

“เวนเกอร์”รับปืนหมดลุ้นแชมป์

อาร์เซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยอมรับว่า “เดอะ กันเนอร์ส” หมดสิทธิลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แน่นอนแล้ว หลังบุกไปแพ้ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ 1-2 ในเกมนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ซึ่งทำให้ อาร์เซนอล ยังคงมี 71 คะแนน รั้งที่ 3 เหมือนเดิม โดยตามหลัง “สิงห์สำอาง” เชลซี ทีมจ่าฝูงถึง 6 คะแนน ขณะที่เหลืออีกแค่ 4 เกม

สเปอร์ ออกนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 10 จากลูกยิงไกลระยะ 30 หลาสุดสวยของ แดนนี โรส ดาวรุ่งวัย 19 ปี ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นเกมแรกในชีวิต จากนั้น แกเร็ธ เบล มาบวกเพิ่มให้เจ้าถิ่นอีกลูกหลังจากเริ่มครึ่งหลังได้แค่ 2 นาที ก่อนที่ นิคลาส เบนด์เนอร์ จะซัดตีไข่แตกให้ทีมเยือนก่อนหมดเวลา 5 นาที และถึงแม้ อาร์เซนอล จะโหมบุกหนัก และได้ยิงหลายครั้งในช่วงท้ายเกม แต่ เอเรลโญ โกเมส นายทวารสเปอร์ ป้องกันเอาไว้ได้หมด ทำให้ สเปอร์ ชนะ อาร์เซนอล ในเกมลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ย. ค.ศ. 1999 พร้อมมีเพิ่มเป็น 61 คะแนน รั้งอันดับ 5 ต่อไป แต่ไล่จี้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี เหลือแค่คะแนนเดียว และยังมีลุ้นคว้าอันดับ 4 มาครองด้วย

เวนเกอร์ เผยว่า “มีอะไรให้เราต้องทำมากเกินไปในการคว้าแชมป์ลีก มันไม่น่าเป็นไปได้มาก ๆ ที่เราจะได้แชมป์ เราแพ้ในเกมที่เราต้องไม่แพ้ และมันแสดงให้เห็นว่าเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ถ้าหากต้องการได้แชมป์ คุณจะต้องห้ามแพ้เด็ดขาดในเกมแบบนี้ แต่เราจะสู้ต่อไป คุณไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

แฮร์รีมั่นใจลุ้นที่ 4-ชมหนู“โรส”


ขณะที่ แฮร์รี เรดแนปป์ กุนซือจอมเก๋าของสเปอร์ ที่เพิ่งพาทีมตกรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ด้วยการพลิกล็อกแพ้ต่อ ปอร์ตสมัธ ในการต่อเวลาพิเศษ 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มั่นใจว่า ชัยชนะนัดนี้ทำให้ทีมไก่เดือยทองมีโอกาสดีในการลุ้นอันดับ 4 พร้อมกล่าวชมเจ้าหนู แดนนี โรส ว่ายิงประตูได้อย่างสุดมหัศจรรย์

“เราทำให้ตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาส เรายังเหลืองานหนักให้ทำอีกมาก แต่เรายังอยู่บนเส้นทาง และเราก็มีโอกาสที่ดี ส่วน แดนนี ยิงลูกนั้นได้อย่างมหัศจรรย์มาก ๆ มันเป็นการยิงที่เหลือเชื่อที่สุดลูกหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็น และเราไม่มีทางลืมประตูนี้ได้แน่นอน”

ส่วนผลคู่อื่น แอสตัน วิลลา เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 และ วีแกน เสมอ ปอร์ตสมัธ 0-0

“เมสซี”ไม่ยิงแต่บาร์ซาชนะนิ่ม

“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา ยังระเบิดฟอร์มเทพไม่เลิก ล่าสุดเปิดคัมป์ นู ถล่ม เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา 3-0 จากประตูของ โบยาน เคอร์คิช นาที 15, เปโดร นาที 68 และ ยายา ตูเร นาที 72 ทำให้ บาร์ซา คว้าชัยชนะในลา ลีกา เป็นนัดที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมมีเพิ่มเป็น 83 คะแนน นำหน้า “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด ถึง 6 คะแนน แม้จะเตะมากกว่า 1 นัดก็ตาม

ผลคู่อื่น แอตเลติโก มาดริด แพ้ เฆเรซ 1-2, ราซิง ซานตานเดร์ ชนะ เอสปันญอล 3-1, โอซาซูนา เสมอ มาลากา 2-2, รีล ซาราโกซา เสมอ รีล มายอร์กา 1-1

“เปป”กระตุ้นเด็กกระหายต่อ

ด้าน เปป กวาร์ดิโอลา ยอดโค้ชหนุ่มมาดเท่ของ บาร์ซา ออกมากระตุ้นลูกทีมให้ลงเล่นอย่างมุ่งมั่น และกระหายในชัยชนะต่อไป ถึงแม้ว่า บาร์เซโลนา จะเริ่มทำแต้มออกห่าง รีล มาดริด มากขึ้น และมีโอกาสดีในการป้องกันแชมป์ลา ลีกา ก็ตาม

“รีล มาดริด จะต้องทำทุกอย่างเพื่อกดดันเรา เราจึงจะแผ่วไม่ได้เป็นอันขาด เรามีโอกาสดีในการสร้างประวัติศาสต์อันยิ่งใหญ่ และถ้าทำไม่ได้ จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เราจึงยังต้องเน้นต่อไปทุกเกมหลังจากนี้”

ช็อก ! ตั๋วบอลโลกเหลือครึ่งล้าน

ตั๋วเข้าชมเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งจะเริ่มในอีก 2 เดือนข้างหน้า ยังจำหน่ายไม่ออกอีกถึงกว่า 500,000 ใบ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนตั๋วทั้งหมด และยังไม่มีเกมใดที่จำหน่ายตั๋วหมดเลยแม้แต่เกมเดียว รวมถึงเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย จากการรายงานของ “เดอะ ซัน” สื่ออังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เคยยืนยันว่า ตั๋วเข้าชมเกมรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงโยฮันเนสเบิร์ก ในวันที่ 11 ก.ค. จำนวน 95,000 ใบ ถูกจำหน่ายหมดไปแล้ว แต่ล่าสุดเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขัน เปิดเผยว่า ความจริงแล้วยังเหลือตั๋วอีกราว 300 ใบที่ยังขายไม่ออก

สื่อดังกล่าว เผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของฟีฟ่า กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจำหน่ายตั๋วให้หมด ทั้งการนำไปเร่ขายตามห้างสรรพสินค้า และการแจกของแถมเพื่อล่อใจให้คนมาซื้อ โดยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่เยอรมนี เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตั๋วเข้าชมการแข่งขันทุกนัด ล้วนต่างถูกจำหน่ายหมดก่อนวันเปิดสนาม

ผีทุ่ม 750 ล.ล่า“ยอริส”แทนซาร์

“ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกเป็นข่าว เตรียมทุ่มเงินถึง 15 ล้านปอนด์ (ราว 750 ล้านบาท) เพื่อซื้อตัว ฮูโก ยอริส นายทวารจอมหนึบของ โอลิมปิก ลียง มาร่วมทีม ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของ เอ็ดวิด ฟาน เดอร์ ซาร์ โกลจอมเก๋า ที่ใกล้ปลดระวาง

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือผีแดง ประทับใจความหนึบของ ยอริส วัย 23 ปี มานานแล้ว และหลังจากปรึกษากับ เอริค สตีล โค้ชผู้รักษาประตูของทีม ทั้งคู่ก็ได้ข้อสรุปว่า นายทวารทีมชาติฝรั่งเศส เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามาแทนที่ ฟาน เดอร์ ซาร์ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมทุ่มเต็มที่เพื่อคว้าตัว ยอริส มาเฝ้าเสาให้ได้

“จอห์นสัน”โผล่มีลุ้นไปบอลโลก

อดัม จอห์นสัน ปีกดาวรุ่งของ“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี อาจถูกหวยรางวัลใหญ่ เมื่อ ฟาบิโอ คาเปลโล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ แย้มเป็นนัยว่า พร้อมจะหนีบเขาไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ในอีก 2 เดือนข้างหน้าด้วย

จอห์นสัน วัย 22 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจนับตั้งแต่ย้ายจาก มิดเดิลสโบรห์ มาอยู่กับ แมนฯ ซิตี เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา และ คาเปลโล ก็แย้มว่า อาจจะเรียกตัวปีกถนัดซ้ายรายนี้ มาติดทีมสิงโตคำราม ในเกมอุ่นเครื่อง 2 นัดสุดท้าย กับ เม็กซิโก ที่เวมบลีย์ วันที่ 24 พ.ค. นี้ และกับ ญี่ปุ่น ที่ออสเตรีย ในวันที่ 30 พ.ค. เพื่อดูฟอร์มก่อนที่ คาเปลโล จะตัดสินใจเลือกผู้เล่น 23 คน ที่จะได้ติดทีมไปทำศึกเวิลด์คัพต่อไป.
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=282&contentID=60245

'ชีวิตที่สมบูรณ์ ต้องมีการเคลื่อนไหว'



“Life is movement-Movement is life” ชีวิตต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวทำให้มีชีวิต เป็นคำกล่าวที่ดูพื้น ๆ เข้าใจง่าย ใครอ่านก็ต้องบอกว่าเหมือนกำปั้นทุบดิน ใคร ๆ ก็รู้ สมัยเรียนชั้นประถมคุณครูก็สอนว่าสิ่งมีชีวิตคืออะไร สิ่งมีชีวิตต้องมีการเจริญเติบโต และต้องมีการเคลื่อนไหว ฯลฯ

ปัจจุบันคนเราถูกทำ หรือ ทำตัวเองเหมือนกับว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เช่น นั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวนานหลายชั่วโมงที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทีวี โต๊ะทำงาน หรือในรถยนต์ เป็นอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า จนในที่สุดร่างกายของเราก็ไม่สามารถแบกรับภาระไหว เรียกว่า overuse หรือ ถ้าเป็นล้อรถก็เรียกว่ายางแตก หรือยางระเบิด เพราะเหมือนเราขับ รถมาต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดพักอย่างเพียง พอนั่นเอง ในที่นี้อวัยวะที่ผมจะกล่าวถึงก็คือ “หมอนรองกระดูก” ที่อยู่ตรงบริเวณกระดูกสันหลังของเราทุกคน ทำหน้าที่เชื่อมต่อปล้องกระดูกสันหลังเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถก้มได้ เงยได้ บิดตัว แอ่นหลังได้ นอกจากนี้หมอนรองกระดูกยังทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกในทุกขณะที่เราเดิน ยืน หรือวิ่ง หากปราศจากหมอนรองกระดูกแล้ว คนเราก็จะสูญเสียสภาพการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถก้มเงย หรือเดินได้ เพราะเส้นประสาทสันหลังจะถูกเบียด และถูกกด จนสูญเสียการสั่งงานเหมือนสายไฟฟ้าถูกตัดขาด ไม่สามารถส่งกระแสไฟไปยังปลายทางได้

ทำอย่างไรเราจึงจะคงสภาพของหมอนรองกระดูกให้มีอายุการใช้งานที่ยืนนานได้ โดยปกติหมอนรองกระดูกจะสูญเสียสภาพหรือความสมบูรณ์ไปเมื่ออายุ 40-70 ปี แต่ในปัจจุบันเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งที่เราพบหมอนรองกระดูกแตก ในวัยรุ่นหรือคนอายุก่อนวัย 20 ปีเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ อันเนื่องมาจากการใช้อย่างสมบุกสมบันจากกิจกรรมอื่นที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน เช่น นั่งเล่นเกมต่อเนื่องนานนับหลายชั่วโมงจนเป็นกิจวัตรประจำวัน และต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้ผลิตเกมได้ผลิตเกมออกมาทันสมัย เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังชอบเล่นเกม เพราะให้ความบันเทิง เพลิดเพลินได้อย่างดี ในยามภาวะที่มีปัญหาสังคม หลากหลาย ที่ผมกล่าวมานี้ ผมไม่ได้ห้ามเล่นเกมนะครับ เพียงแต่ต้องรู้จักเล่นอย่างมีสติ และพักผ่อนบ้าง แต่สำหรับวัยรุ่นที่ยังขาดความยับยั้งชั่งใจและไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครอง โอกาสที่เด็กจะเป็นทาสของเกมก็ยิ่งเป็นไปได้สูง ผลเสียที่ตามมาก็คือโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร หรือเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ซึ่งไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เพราะไม่ว่าจะมีอวัยวะเทียม, โลหะหมอนรองกระดูกเทียม, ข้อหมอนรองกระดูกเทียมที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่สามารถมาทดแทนหมอนรองกระดูกตามธรรมชาติของเราได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับท่าทางการนั่ง การยืน หรือการนอนว่าท่วงท่าใดบ้างที่มีผลเสียต่อหมอนรองกระดูกมากน้อยอย่างไร

เมื่อพิจารณาตามรูปกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันกับแรงกดที่หมอนรองกระดูกสันหลัง โดยให้แกนแนวตั้งเป็นน้ำหนักที่กระทำต่อหมอนรองกระดูกสันหลัง (หน่วยเป็นกิโลกรัม) ส่วนแนวนอนเป็น อิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเราจะพบว่าท่าที่ทำให้เกิด แรงดัน หรือแรงกด ต่อหมอนรองกระดูก มากที่สุดก็คือ ท่านั่ง โดยเฉพาะท่านั่งในที่นั่งแบบไม่มีพนักพิง ซึ่งมีแรงดันสูงมากถึง 275 กิโลกรัม เทียบเท่ากับว่าเราแบกคนน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมไว้ประมาณ 5 คนกว่า ๆ ลองคิดดูซิครับว่าเฉพาะท่านั่งที่ผิดสรีรวิทยาทำให้เกิดแรงกดมหาศาล แล้วส่วนใหญ่เราเองก็ชอบนั่งท่านี้เวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันนานนับหลายชั่วโมงต่อวัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านรู้แบบนี้แล้วอย่าลืมเปลี่ยนอิริยาบถ ๆ จากนั่งมาเป็นท่ายืน จะช่วยลดแรงกดเหลือ 100 กิโลกรัม และเหลือน้อยที่สุดเพียง 25 กิโลกรัมใน “ท่านอน”

อย่าลืมนะครับ แรงกดเปลี่ยนไปนับ 10 เท่าทีเดียว เพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถ ย้ำเตือนตัวเองและลูกหลานไว้เสมอว่าอย่านั่งนาน ถ้าคิดจะนั่ง ต้องนั่งให้ถูกวิธี ที่สำคัญอย่านั่งนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ และหากท่านมีอาการปวดหลัง การนอนราบไปกับพื้นเป็นท่าที่ดีที่สุดที่จะช่วยบรรเทาอาการได้

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

'ผึ้ง-ต่อ' ต่อย ทำไงดี ?


มีคำพยากรณ์ว่าในอนาคตแมลงจะครองพื้นผิวโลกจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏสงสารของสิ่งมีชีวิตการฆ่าทำลายล้างกัน มนุษย์ผลิตยาฆ่าแมลงแต่แมลงบางชนิดก็สามารถทนทานยาได้ มนุษย์ต้องใช้ยาฆ่าแมลงที่แรงเพิ่มขึ้นจนมีอันตรายต่อมนุษย์เอง การย้ายถิ่นฐานของแมลงจากการปรวนแปรของสภาพอากาศ มนุษย์บุกรุกทำลายป่าซึ่งเป็นที่อาศัยของแมลง บางครั้งก็นำแมลงมาเป็นอาหาร ดังนั้นแมลงเช่นผึ้งและต่อจึงบุกไล่ป้องกันตัว

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาแมลงกัดต่อยจะมีเพิ่มขึ้นจากจำนวนแมลงที่มีมากขึ้น ความนิยมท่องเที่ยวทะเลและป่าก็เป็นการบุกรุกที่อาศัยของแมลง แมลงบางชนิดไม่มีพิษ แต่เมื่อกัดต่อยจะก่อให้เกิดความรำคาญ หรือบางคนอาจแพ้เป็นตุ่มคัน เช่น ตุ่มคันจากลิ้นทะเลกัดเมื่อเที่ยวชายทะเล หรือแพ้ตัวคุ่นซึ่งเป็นตัวเหลือบเมื่อเที่ยวป่าภาคเหนือ หลายท่านได้ตุ่มคันรุนแรงและเรื้อรังกลับมาเป็นที่ระลึก

ในฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงหยุดพักผ่อนเป็นช่วงที่แมลงชุกชุม และแมลงที่มีพิษ เช่น ผึ้งและต่อก็ออกมาทำรังสะสมอาหาร พิษของผึ้งและต่อรุนแรงมีอันตรายต่อชีวิตได้ เพราะพิษมีสารหลายชนิดซึ่งทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์เม็ดเลือดแดง มาสต์เซลล์ ซึ่งมีสารหลายชนิด เช่น ฮีสตามินไคคิน และฟอสโฟไลเปสเอ สารเหล่านี้เมื่อหลั่งออกมาทำให้เกิดลมพิษ อาจ เป็นเฉพาะที่หรือกระจายทั่วตัว และถ้าเกิดการบวมในท่อหายใจ ระบบหายใจจะล้มเหลว สาร ยังทำให้ความดันโลหิตตก เกิด อาการช็อกและเสียชีวิตอย่าง รวดเร็ว

ในประเทศสหรัฐอเมริกาประชากรซึ่งเสียชีวิตจากตัวต่อต่อย จะสูงกว่าถูกงูพิษกัด พิษของตัวต่อจะร้ายแรงกว่างูพิษ ตัวต่อมีพิษรวมของพิษงู 3 ชนิด คือ เป็นพิษต่อระบบประสาทเหมือนพิษงูเห่าหรืองูจงอาง และพิษต่อเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและเกิดไตวายตายเหมือนพิษงูเขียวหางไหม้ และทำให้กล้ามเนื้อตายเหมือน งูทะเล และยังทำให้ความดันโลหิตตกจนช็อกได้อย่างรวดเร็ว ในพิษยังพบสารโปรตีนกระตุ้นระบบภูมิแพ้ ดังนั้นถ้าเคยถูกต่อยและมีอาการแพ้ การถูกต่อยในครั้งต่อไปจะรุนแรงมากและอันตรายถึงชีวิตได้ ในคนแพ้ผึ้งหรือต่อจึงต้องพกพายาฉีดแก้แพ้ตลอดเวลา

อาการผึ้งหรือต่อต่อยจะเกิดอาการปวดรุนแรงมาก และอาการบวมจะเกิดภายใน 12 ชั่วโมง ถ้ารอยกัดบวมอยู่ใกล้ระบบทางเดินหายใจอาจกดท่อหายใจได้ และภายใน 24 ชั่วโมง อาการคันอย่างรุนแรงจะเกิดตามมา

การปฐมพยาบาลที่แนะนำในหนังสือเพื่อลดอาการปวดจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติ เช่น การประคบด้วยน้ำแข็ง หรือการฉีดยาชาแก้ปวดเพราะคงไม่มีใครเตรียมน้ำแข็งและยาชาไปท่องเที่ยวด้วย จากการศึกษาการใช้สิ่งใกล้ตัว เช่น น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู สบู่ ครีมทาผิว ผลไม้หลากหลายชนิด หอม กระเทียม ยาสีฟัน ใบหรือรากไม้ ก็ไม่ได้ผล ก็คงต้องรอและร้องไปจนทุเลาเอง คนในภาคอีสานจะใช้หนอนตัวต่อทาคงเป็นอุบายที่จะกินหนอนต่อมากกว่า เพราะการจะได้หนอนต่อคงต้องทำลายรังซึ่งใช้เวลานานอาการปวดคงทุเลา

หลังอาการปวดทุเลาอาการคันที่รุนแรงจะเข้ามาแทน ก็แนะนำให้ใช้ยาทาที่ทำให้เย็นหรือยาทาสเตียรอยด์ และรับประทานยาแก้แพ้แอนตี้ฮีสตามีน แต่จากประสบการณ์ของตัวหมอเองที่ถูกต่อต่อย เมื่อไปฝึกกรรมฐานช่วงเดือน มี.ค. พบว่า ทำตามคำแนะนำก็ไม่ได้ผล เกาจนถลอก จึงลองฝังเข็ม พบว่าอาการคันทุเลา แผลผื่นหายใน 24-48 ชั่วโมง

ส่วนในรายงานอาการรุนแรง เช่น ช็อก ชัก หรือไตวายคงจะต้องมาพบแพทย์ ผึ้งและต่อมักต่อยบริเวณหนังศีรษะและหน้า พบบ่อยในเด็ก ผึ้งจะต่อยครั้งเดียวและฝังเหล็กในและถุงพิษไว้ เมื่อผึ้งต่อยจึงต้องถอนเหล็กในทันทีโดยใช้สันมีดขูดออก ส่วน ต่อต่อยได้หลายครั้ง อันตรายจากการถูกรุมต่อยจะรุนแรง

ขอแนะนำว่าเมื่อทราบว่าถูกต่อหรือผึ้งต่อยให้อยู่นิ่ง ๆ อย่าวิ่ง เพราะต่อและผึ้งจะส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ มาช่วยกันรุม คงต้องเอาเสื้อคลุมหน้าและศีรษะ ถ้าอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และว่ายน้ำเป็นมีหลาย คนแนะนำให้โดดลงและดำน้ำหนี

การไปเที่ยวพักผ่อนในฤดูร้อนนี้การป้องกันคงจะดีที่สุด มีคำแนะนำดังนี้ 1.ควรใส่เสื้อผ้าสีขาว น้ำตาล หรือเขียว อย่าสวมเสื้อสีสดเหมือนสีดอกไม้ หรือเสื้อลายดอกไม้ เพราะตาของผึ้งและต่อจะไวต่อสีมาก 2.งดใช้น้ำหอมหรือเครื่องหอม หรือผลิตภัณฑ์กลิ่นหอม 3.งดการสวมเครื่องประดับ 4.ใส่เสื้อผ้าที่ถ่ายเทอากาศได้ดีเพราะกลิ่นเหงื่อจะดึงดูดแมลง 5.อย่าเด็ดดอกไม้เพราะอาจมีผึ้งหรือต่อดูดน้ำหวานอยู่ 6.สวมรองเท้าหุ้มป้องกัน และเดินอย่างระวังในบริเวณพุ่มไม้ ทุ่งหญ้า กอง ขยะ และตึกร้าง 7.ทายาไล่แมลงบริเวณนอกร่มผ้า 8.ควรให้ความรู้ชนิดของแมลงที่มีอันตรายแก่เด็ก 9.ทำลายรังผึ้งหรือต่อโดยผู้รู้ 10.เตรียมยาแก้แพ้ไว้ประจำตัว และเมื่อถูกต่อยต้องมีสติ พยายามอยู่นิ่ง ๆ ดึงเสื้อคลุมหนังศีรษะ

รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า ผึ้งและต่อเป็นแมลงที่มีประโยชน์ ผึ้งดูดน้ำหวานจากดอกและจะผสมเกสร ส่วนต่อนอกจากดูดน้ำหวานจากดอกไม้ ยังกินแมลงตัวหนอน เนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงอาจช่วยกำจัดแมลงที่ทำลายธัญพืช ทั้งผึ้ง และต่อจะไม่ทำร้ายคน ถ้าไม่ถูกรบกวน โดยเฉพาะจะหวงรัง ดังนั้นอย่าตื่นเต้นกลัว อย่างไรก็ตาม พบว่าการโบกปัดไล่อาจทำให้ต่อตกใจและส่งสัญญาณมารุมกัดได้ ต้องระลึกไว้ว่าทางใครทางมันก็จะอยู่กันได้อย่างสงบสุข.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

แนวทางป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด...


เพื่อเสริมการรักษา

แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านมีความตั้งใจที่ต้องดูแลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างดีที่สุดเสมอตามจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่เมื่อช่วงต้นปีปรากฏข่าวการติดเชื้อหลังการผ่าตัดต้อกระจก ทำให้ประชาชนเกิดความสนใจประเด็นปัญหาเรื่องการติดเชื้อในสถานพยาบาลมากขึ้น จนบางคนอาจตระหนกกับการไปโรงพยาบาลเลย ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยของสถานพยาบาล จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนของหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข หน่วยงาน องค์ กร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ เพื่อหามาตรการและแนวทางป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ มีแพทย์และพยาบาลด้านโรคติดเชื้อและเวชบำบัดวิกฤติกว่า 200 คน เข้าร่วมประชุมวิชาการแพทย์ ในหัวข้อ “จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างมาตรฐานป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล” เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการควบคุมการติดเชื้อทางกระแสเลือดในโรงพยาบาล ณ โรงแรมพูลแมน โดยมี นพ.วิคเตอร์ ดี โรเซนทอล ประธานสมาพันธ์ควบคุมการติดเชื้อในโรงพยา บาลนานาชาติ (International Nosocomial Infection Control Consortium: INICC) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของชาวอาร์เจนตินา ได้มาบรรยายว่า การติดเชื้อในโรงพยาบาลไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในสถานพยาบาลของไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อในโรงพยาบาลกว่า 1.4 พันล้านคน ในประเทศที่กำลังพัฒนามีอัตราผู้ป่วยติดเชื้อสูงมากคือ 1 ในจำนวนผู้ป่วย 4 ราย ซึ่งการติดเชื้อในโรงพยาบาล มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องใส่อุปกรณ์เข้า ไปในร่างกาย เช่น การใส่สายสวนหลอดเลือด การใส่สายสวนปัสสาวะ การใส่เครื่องช่วยหายใจ และการให้สารน้ำหรือของเหลวเข้าทางหลอดเลือด เป็นต้น

การติดเชื้อทางกระแสเลือด เป็นหนึ่งในปัญหาการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่พบบ่อย ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากที่ผู้ป่วยต้องใส่สายสวนหลอดเลือดเป็นเวลานาน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อในกระแสเลือดจาก 2 ทางด้วยกัน คือจากเชื้อที่อยู่ตามผิวหนัง และจากเชื้อที่ แพร่กระจายไปทางสายสวนหลอดเลือดเอง ซึ่งหากเกิดการติดเชื้อขึ้นแล้วจะส่งผลให้การรักษาผู้ป่วยยากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลนานและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องใช้ยาราคาแพงในการรักษา และมีโอกาสเกิดเชื้อดื้อยาสูง ทั้งนี้ หากมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง ก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

แนวทางการควบคุมการติดเชื้อทาง กระแสเลือดในโรงพยาบาล สามารถควบคุมได้ โดยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยสำคัญ คือ

1)การปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัดของบุคลากรผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์

2)การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกใช้อุปกรณ์กับ ผู้ป่วยมีความสำคัญมาก ทั้งชนิด ขนาด และวัสดุของอุปกรณ์สายสวนที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ความสะอาดของ เครื่องมือ โดยในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการศึกษารับรองว่า สามารถ ช่วยลดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ เช่น สายสวนชนิดพิเศษที่มีการเคลือบยาฆ่าเชื้อ การให้สารละลายหรือน้ำเกลือด้วยภาชนะถุงนิ่มที่เป็นระบบปิดซึ่งป้องกันการติดเชื้อทางกระแสเลือด ที่สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

นพ.วิคเตอร์ ได้นำเสนอผลงานวิจัยการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง การให้สารละลายแบบขวดซึ่งเป็นระบบเปิดกับการให้สารละลายแบบถุงนิ่มซึ่งเป็นระบบปิด (Closed system) ใน 4 ประเทศ คือ อิตาลี เม็กซิโก บราซิล และอาร์เจนตินา พบว่า หลังจากเปลี่ยนมาใช้ภาชนะแบบถุงนิ่มระบบปิด ทำให้อัตราการติด เชื้อในกระแสเลือดลดลงกว่า 60% ภาชนะถุงนิ่มระบบปิดนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ คือมีความยืดหยุ่นสูง มีแรงบีบตัวทำให้สารละลายในถุงทั้งหมดสามารถไหลเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยได้อย่างคง ที่และครบถ้วน โดยไม่ต้องอาศัยอากาศเข้าไปแทนที่น้ำเพื่อดันสารละลายออกมา เช่น ภาชนะ แบบขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกชนิดกึ่งแข็ง ที่ต้องให้อากาศเข้าไปแทนที่สารละลายในขวด เพื่อให้สารละลายไหลออกมา โดยอาจใช้เข็มแทงด้านบนขวด หรือใช้อุปกรณ์ให้ยาที่สามารถให้อากาศผ่านเข้าไปในขวดได้ ภาชนะถุงนิ่มระบบปิดจึงช่วยลดโอกาสที่สารละลายจะสัมผัสกับเชื้อในอากาศ ทำให้ลดโอกาสการติดเชื้อได้ ทั้งยังเหมาะกับการให้สารละลายในผู้ป่วยพิเศษที่จำเป็นต้องได้รับยาอย่างครบถ้วน เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยไอซียู เป็นต้น

ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อนุชา อภิสารธนรักษ์ หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ตามที่ได้ทำการศึกษาแนวทางการป้องกันการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรตินั้นพบว่า การกำกับดูแลผู้ป่วยอย่างเข้มข้นมากขึ้นในขณะที่กำลังใส่ สายสวนหลอดเลือด เช่น เพิ่มจำนวนครั้งในการล้างมือทั้งก่อนและหลังปฏิบัติงาน สวมใส่ชุดปฏิบัติงานให้เหมาะสมทุกครั้งก่อนการใส่สายสวนหลอดเลือดให้กับผู้ป่วย เช่น หน้ากาก เสื้อคลุม ถุงมือ ฯลฯ ใช้ยาฆ่าเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ใส่สายสวน การพิจารณาเอาสายสวนออกในผู้ป่วยที่ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อในกระแสเลือดได้มาก วิธีการเหล่านี้ยังสามารถลดค่าใช้จ่าย โดยรวมทั้งของผู้ป่วยเองและในระดับประเทศ รวมถึงลดความสูญเสียที่อาจเกิดกับผู้ป่วยอีกด้วย การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมนั้นอาจมีความ จำเป็นถ้าโรงพยาบาลไม่สามารถลดอัตราการ ติดเชื้อได้ หลังจากมีการกำกับดูแลผู้ป่วยอย่างเข้มข้นมากขึ้นในขณะที่กำลังใส่สายสวนหลอดเลือดแล้ว

อย่างไรก็ตาม แนวทางและการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลนั้น นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ในส่วนของตัวผู้ป่วยเอง ญาติและครอบครัวก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การล้างทำความสะอาดมือทั้งก่อนและหลังเข้าเยี่ยมผู้ป่วย จำกัดการเยี่ยมเฉพาะที่จำเป็น ห้ามผู้ที่มีอาการไข้หวัดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยใกล้ชิด สัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง และผิวหนังที่มีบาดแผลของผู้ป่วย และสังเกตอาการ ตนเองว่ามีไข้ อาการผิดปกติระบบทางเดินหายใจ หรือไม่หลังเยี่ยมครั้งสุดท้ายภายใน 7 วัน หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์

พบว่าปัจจุบันโรงพยาบาลในไทยได้ ตื่นตัวในการพัฒนาโรงพยาบาลสู่มาตรฐานในระดับโรงพยาบาลคุณภาพในระบบ Joint Commission International (JCI) มาก ขึ้น นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เนื่องจากจะทำให้ประชาชนได้รับการบริการและการรักษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับนานาชาติ ซึ่งหากมองในระยะยาว ก็จะเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาโรงพยาบาลเพื่อให้เกิดมาตรฐานของโรงพยาบาลที่ดี และการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลประโยชน์สูงสุดต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยต่อไป

ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ.

นายแพทย์สุรพงค์ อำพันวงษ์

น้ำคลอโรฟิลล์


เห็นหลายคนนิยมดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ตามกระแสคนรักสุขภาพ บ้างก็เชื่อว่า ดีต่อสุขภาพมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคบางโรค บ้างก็บอกว่าเป็นน้ำอายุวัฒนะ

ยิ่งในปัจจุบัน พบว่ามีการโฆษณาขายน้ำคลอ โรฟิลล์กันเต็มไปหมดโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมาคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

นพ.กฤษดา กล่าวว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเสมือนเป็นเลือดของพืช ประกอบด้วยแมกนีเซียม มีคุณสมบัติช่วยเติมกระดูก เกลือแร่ได้ ที่สำคัญจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนกับพืชที่ จะใช้คลอโรฟิลล์ต้านอนุมูลอิสระจาก แสงแดด ยกตัวอย่างต้นกล้วยที่ต้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดนาน ๆ แต่มันไม่เหี่ยวไม่ตายก็เพราะว่า มันมีคลอ โรฟิลล์ นอกจากจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแล้ว มันจะเป็น เหมือนด่านที่กันแดดเอาไว้ ไม่ให้แดดมาเผาใบทำให้เกิดอนุมูลอิสระ

ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ให้เราดื่ม มักจะสกัดจากพืชที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น สกัดจากต้นหญ้าอัลฟัลฟ่า ซึ่งมีอยู่ตามทุ่งราบอเมริกา ที่พบว่ามีคลอโรฟิลล์สูง จึงนิยมนำมาให้สัตว์กิน แต่เนื่องจากมีกากเยอะ คนกินไม่ได้ จึงได้นำมาสกัดเอาเฉพาะคลอโรฟิลล์

สำหรับน้ำคลอโรฟิลล์ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีทั้งที่สกัดจากหญ้าอัลฟัลฟ่า และพืชผักอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีเขียวจาง ๆ ไม่เข้มข้นมาก ก็เพราะมีการนำมาเจือจางกับน้ำ ดังนั้นจึงไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เรากินจากพืชผักสด ๆ

ถามว่าควรจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์หรือไม่ นพ.กฤษดา ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง ถ้ามีสตางค์กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นผมจะกินจากผักสดดีกว่าเพราะได้กากใยจากผักด้วย

ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรา สามารถเลือกกินคลอโรฟิลล์ได้จากพืชใบเขียวต่าง ๆ เพราะคลอโรฟิลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบของพืชผัก สังเกตได้ง่าย ๆ ตรงไหนมีคลอโรฟิลล์เยอะ ก็คือตรงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงนั่นเอง

พืชผักใบเขียวหลายชนิดที่มีคลอโรฟิลล์ เช่น คะน้า ตะไคร้ ใบเตย สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย ผักโขม ปวยเล้ง ใบแมงลัก สาหร่ายทะเล ถ้าไม่อยากเสียสตังค์กินสด ๆ ได้ หรืออาจจะนำมาปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้ ก็จะทำให้ได้น้ำคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นมากขึ้น หรือจะต้มน้ำใบเตย น้ำตะไคร้ก็ได้ หรือบางคนอาจจะนำมาใส่ในอาหาร เช่น ต้มเปรอะจะใส่ใบย่านางหรือใบแมงลัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า คลอโรฟิลล์ ไม่ควรนำไปอุ่นหรือโดนความร้อนจัดจนเกินไป เพราะทำให้เสื่อมสลายไปได้

โดยหลักแล้วควรจะกินหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อย่างที่บอกถ้ามีสตางค์กินได้ก็ดี ดีกว่าน้ำเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ ในคนที่มีเกลือแร่ในเลือดไม่ค่อยสมดุล อย่างคนที่เป็นโรคไต อาจจะขับเกลือแร่ไม่ได้ ดังนั้นต้องพึงระวังว่า อาจจะได้รับเกลือแร่เกินจากคลอโรฟิลล์ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะแมกนีเซียมถ้ามีเยอะเกินไปอาจจะมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจได้

นพ.กฤษดา บอกว่า ที่มีการโฆษณากันและไม่เป็นไปตามนั้น ก็คือ กรณีที่บอกว่าคลอโรฟิลล์ช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายนั้น ความจริงคือเมื่อเรากินเข้าไปคลอโรฟิลล์จะไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงเหมือนในพืช ตรงนี้หลายคนมักจะเข้าใจผิดกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คนหันมาดื่มน้ำคลอโรฟิลล์กันมาก แทนที่จะกินจากผักสด ก็คงเพราะกลัวเรื่องสารพิษ หรือยาฆ่าแมลงในผัก ก็เลยเลือกคลอโรฟิลล์ที่สกัดแล้ว

ท้ายนี้คงขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วละว่า หลังจากที่ นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลแล้วจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ต่อหรือไม่ เพราะอย่างที่บอก คลอโรฟิลล์ก็มีประโยชน์ แต่สามารถหากินได้ง่ายจากพืชผักใบ เขียวต่าง ๆ ถ้าใครกระเป๋าหนักจะหามาดื่มก็ไม่ว่ากัน.

นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์

Saturday, March 27, 2010

หวานอมเปรี้ยว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง

ทำกินง่ายได้คุณค่า

เครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพที่แก้วนี้มีทีเด็ดช่วยล้างพิษ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็งมีส่วนผสมจากผักและผลไม้ที่ต้องเตรียมเพียง 3 ชนิด ประกอบด้วย ลูกแพร์ กีวี และมะนาว

เห็นเครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมแค่น้อยนิด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมหัศจรรย์ให้ประโยชน์กับร่างกาย เริ่มจาก 'ลูกแพร์' เต็ม ไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม พร้อมแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะที่ส่วนของผลลูกแพร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากใยอาหาร กรดไฮดรอกซีซินนามิก และเส้นใยเพ็กตินช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

ต่อด้วย 'กีวี' มา พร้อมวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ก็ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อมโทรมและเกิดโรคภัย

สุดท้ายกับ 'มะนาว' ผล กลมรสเปรี้ยว ให้วิตามินบี1 บี2 บี4 วิตามินซี คาร์โบรไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยขับของเสียอย่างเสมหะ และพยาธิออกจากร่างกาย แล้วยังช่วยแก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้วิงเวียนศีรษะ

เห็นแจ้งกับสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยมกันแล้ว ก็ต้องเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ต่อไปนี้...

ลูกแพร์สุกเต็มที่ 2 ถ้วย

กีวี 1 ถ้วย

มะนาว 1 ถ้วย

ลงมือปรุง โดยเริ่มจากปอกเปลือกกีวีทั้งผล จากนั้นให้ฝานเนื้อกีวีออกเป็นแว่น ๆ ส่วนลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นพอหยาบ แล้วนำกีวีกับลูกแพร์ไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ อย่าลืมคั้นน้ำมะนาวเพื่อใช้น้ำ ได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้วจึงนำมาผสมคนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที หรือถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นก็ยังได้ ปรุงดื่มเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ดีนักแล

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.thaihealth.or.th/node/13366

คนอ้วนดื่มเหล้าอันตรายเพิ่ม 2 เท่า

เสี่ยงตับแข็งสูงกว่าปกติ

คนอ้วนที่ชอบดื่มเหล้าและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เสี่ยงที่จะเป็นโรคตับแข็งและโรคอื่นๆ เกี่ยวกับตับมากกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 2 เท่า นี่ เป็นผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของอังกฤษ ที่ทำการศึกษาจากทั้งชาย-หญิงชาวอังกฤษวัยกลางคนกว่า 1 ล้านคน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาทั้งชาย-หญิง มีความเสี่ยงเท่ากันหากว่าดื่มเหล้า เช่นกรณีของผู้หญิงอ้วนที่ดื่มไวน์มากกว่าวันละ 1 แก้ว มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าที่จะเป็นโรคตับมากกว่าผู้หญิงกลุ่มอื่น

ใน สหราชอาณาจักร อัตราของผู้เป็นโรคตับและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคตับและมีหลัก ฐานชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความอ้วนก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ โดยทางการของอังกฤษประเมินว่า เกือบ 20% ของหญิงวัยกลางคนอังกฤษเกิดโรคตับจากปัญหาอ้วน และเกือบ 50% เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเมื่อคนอ้วนไปดื่มแอลกอฮอล์อันตรายและความเสี่ยงของโรคก็สูงขึ้นมาก

ผล การวิจัยนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะชี้แนะได้ว่า การลดดื่มเหล้าจะช่วยลดโรคเกี่ยวกับตับได้ด้วย ขณะเดียวกันการควบคุมน้ำหนักตัวก็มีความสำคัญ ซึ่งปัญหาโรคตับนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้กรมสุขภาพของอังกฤษกำลังหา กลยุทธ์ระดับชาติในการแก้ไข

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.thaihealth.or.th/node/14711