Sunday, April 18, 2010

"เวนเกอร์"รับ"ปืน"มันแย่วืดแชมป์แน่


"เรดแนปป์"มั่นใจ"ไก่"ที่4แฉตั๋วบอลโลกเหลืออื้อ!

“เวนเกอร์” โยนผ้า ยอมรับ “ปืนใหญ่” หมดลุ้นแชมป์ ขณะที่ “เรดแนปป์” สุดคึก มั่นใจ “ไก่เดือยทอง” มีลุ้นที่ 4 พร้อมชม “หนูโรส” ยิงลูกสุดมหัศจรรย์ ฝั่ง “เดอะ ซัน” เผยข่าวช็อก ตั๋วบอลโลกเหลืออีกบานกว่าครึ่งล้านใบ ระบุยังไม่มีเกมไหนขายหมด แม้แต่นัดชิง ส่วน “ผีแดง” เล็ง “ยอริส” โกลน้ำหอม สืบทอดบัลลังก์ “น้าซาร์” คาดพร้อมทุ่มถึง 750 ล้าน ด้าน “บาร์ซา” เทพไม่เลิก เปิดรังยำ “เดปอร์” 3-0 นำโด่ง 6 แต้ม “เปป” กระตุ้นเด็ก ห้ามเหลิง

“เวนเกอร์”รับปืนหมดลุ้นแชมป์

อาร์เซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ยอมรับว่า “เดอะ กันเนอร์ส” หมดสิทธิลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แน่นอนแล้ว หลังบุกไปแพ้ “ไก่เดือยทอง” ทอตแนม ฮอตสเปอร์ 1-2 ในเกมนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ซึ่งทำให้ อาร์เซนอล ยังคงมี 71 คะแนน รั้งที่ 3 เหมือนเดิม โดยตามหลัง “สิงห์สำอาง” เชลซี ทีมจ่าฝูงถึง 6 คะแนน ขณะที่เหลืออีกแค่ 4 เกม

สเปอร์ ออกนำเร็วตั้งแต่นาทีที่ 10 จากลูกยิงไกลระยะ 30 หลาสุดสวยของ แดนนี โรส ดาวรุ่งวัย 19 ปี ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นเกมแรกในชีวิต จากนั้น แกเร็ธ เบล มาบวกเพิ่มให้เจ้าถิ่นอีกลูกหลังจากเริ่มครึ่งหลังได้แค่ 2 นาที ก่อนที่ นิคลาส เบนด์เนอร์ จะซัดตีไข่แตกให้ทีมเยือนก่อนหมดเวลา 5 นาที และถึงแม้ อาร์เซนอล จะโหมบุกหนัก และได้ยิงหลายครั้งในช่วงท้ายเกม แต่ เอเรลโญ โกเมส นายทวารสเปอร์ ป้องกันเอาไว้ได้หมด ทำให้ สเปอร์ ชนะ อาร์เซนอล ในเกมลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ย. ค.ศ. 1999 พร้อมมีเพิ่มเป็น 61 คะแนน รั้งอันดับ 5 ต่อไป แต่ไล่จี้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี เหลือแค่คะแนนเดียว และยังมีลุ้นคว้าอันดับ 4 มาครองด้วย

เวนเกอร์ เผยว่า “มีอะไรให้เราต้องทำมากเกินไปในการคว้าแชมป์ลีก มันไม่น่าเป็นไปได้มาก ๆ ที่เราจะได้แชมป์ เราแพ้ในเกมที่เราต้องไม่แพ้ และมันแสดงให้เห็นว่าเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ ถ้าหากต้องการได้แชมป์ คุณจะต้องห้ามแพ้เด็ดขาดในเกมแบบนี้ แต่เราจะสู้ต่อไป คุณไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

แฮร์รีมั่นใจลุ้นที่ 4-ชมหนู“โรส”


ขณะที่ แฮร์รี เรดแนปป์ กุนซือจอมเก๋าของสเปอร์ ที่เพิ่งพาทีมตกรอบรองชนะเลิศเอฟเอ คัพ ด้วยการพลิกล็อกแพ้ต่อ ปอร์ตสมัธ ในการต่อเวลาพิเศษ 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มั่นใจว่า ชัยชนะนัดนี้ทำให้ทีมไก่เดือยทองมีโอกาสดีในการลุ้นอันดับ 4 พร้อมกล่าวชมเจ้าหนู แดนนี โรส ว่ายิงประตูได้อย่างสุดมหัศจรรย์

“เราทำให้ตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งที่มีโอกาส เรายังเหลืองานหนักให้ทำอีกมาก แต่เรายังอยู่บนเส้นทาง และเราก็มีโอกาสที่ดี ส่วน แดนนี ยิงลูกนั้นได้อย่างมหัศจรรย์มาก ๆ มันเป็นการยิงที่เหลือเชื่อที่สุดลูกหนึ่งเท่าที่ผมเคยเห็น และเราไม่มีทางลืมประตูนี้ได้แน่นอน”

ส่วนผลคู่อื่น แอสตัน วิลลา เสมอ เอฟเวอร์ตัน 2-2 และ วีแกน เสมอ ปอร์ตสมัธ 0-0

“เมสซี”ไม่ยิงแต่บาร์ซาชนะนิ่ม

“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลนา ยังระเบิดฟอร์มเทพไม่เลิก ล่าสุดเปิดคัมป์ นู ถล่ม เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา 3-0 จากประตูของ โบยาน เคอร์คิช นาที 15, เปโดร นาที 68 และ ยายา ตูเร นาที 72 ทำให้ บาร์ซา คว้าชัยชนะในลา ลีกา เป็นนัดที่ 7 ติดต่อกัน พร้อมมีเพิ่มเป็น 83 คะแนน นำหน้า “ราชันชุดขาว” รีล มาดริด ถึง 6 คะแนน แม้จะเตะมากกว่า 1 นัดก็ตาม

ผลคู่อื่น แอตเลติโก มาดริด แพ้ เฆเรซ 1-2, ราซิง ซานตานเดร์ ชนะ เอสปันญอล 3-1, โอซาซูนา เสมอ มาลากา 2-2, รีล ซาราโกซา เสมอ รีล มายอร์กา 1-1

“เปป”กระตุ้นเด็กกระหายต่อ

ด้าน เปป กวาร์ดิโอลา ยอดโค้ชหนุ่มมาดเท่ของ บาร์ซา ออกมากระตุ้นลูกทีมให้ลงเล่นอย่างมุ่งมั่น และกระหายในชัยชนะต่อไป ถึงแม้ว่า บาร์เซโลนา จะเริ่มทำแต้มออกห่าง รีล มาดริด มากขึ้น และมีโอกาสดีในการป้องกันแชมป์ลา ลีกา ก็ตาม

“รีล มาดริด จะต้องทำทุกอย่างเพื่อกดดันเรา เราจึงจะแผ่วไม่ได้เป็นอันขาด เรามีโอกาสดีในการสร้างประวัติศาสต์อันยิ่งใหญ่ และถ้าทำไม่ได้ จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เราจึงยังต้องเน้นต่อไปทุกเกมหลังจากนี้”

ช็อก ! ตั๋วบอลโลกเหลือครึ่งล้าน

ตั๋วเข้าชมเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ซึ่งจะเริ่มในอีก 2 เดือนข้างหน้า ยังจำหน่ายไม่ออกอีกถึงกว่า 500,000 ใบ หรือประมาณ 1 ใน 4 ของจำนวนตั๋วทั้งหมด และยังไม่มีเกมใดที่จำหน่ายตั๋วหมดเลยแม้แต่เกมเดียว รวมถึงเกมนัดชิงชนะเลิศด้วย จากการรายงานของ “เดอะ ซัน” สื่ออังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เคยยืนยันว่า ตั๋วเข้าชมเกมรอบชิงชนะเลิศ ที่กรุงโยฮันเนสเบิร์ก ในวันที่ 11 ก.ค. จำนวน 95,000 ใบ ถูกจำหน่ายหมดไปแล้ว แต่ล่าสุดเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขัน เปิดเผยว่า ความจริงแล้วยังเหลือตั๋วอีกราว 300 ใบที่ยังขายไม่ออก

สื่อดังกล่าว เผยด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของฟีฟ่า กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อจำหน่ายตั๋วให้หมด ทั้งการนำไปเร่ขายตามห้างสรรพสินค้า และการแจกของแถมเพื่อล่อใจให้คนมาซื้อ โดยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่เยอรมนี เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตั๋วเข้าชมการแข่งขันทุกนัด ล้วนต่างถูกจำหน่ายหมดก่อนวันเปิดสนาม

ผีทุ่ม 750 ล.ล่า“ยอริส”แทนซาร์

“ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกเป็นข่าว เตรียมทุ่มเงินถึง 15 ล้านปอนด์ (ราว 750 ล้านบาท) เพื่อซื้อตัว ฮูโก ยอริส นายทวารจอมหนึบของ โอลิมปิก ลียง มาร่วมทีม ในช่วงปิดฤดูกาลนี้ เพื่อเป็นตัวตายตัวแทนของ เอ็ดวิด ฟาน เดอร์ ซาร์ โกลจอมเก๋า ที่ใกล้ปลดระวาง

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือผีแดง ประทับใจความหนึบของ ยอริส วัย 23 ปี มานานแล้ว และหลังจากปรึกษากับ เอริค สตีล โค้ชผู้รักษาประตูของทีม ทั้งคู่ก็ได้ข้อสรุปว่า นายทวารทีมชาติฝรั่งเศส เหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามาแทนที่ ฟาน เดอร์ ซาร์ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อมทุ่มเต็มที่เพื่อคว้าตัว ยอริส มาเฝ้าเสาให้ได้

“จอห์นสัน”โผล่มีลุ้นไปบอลโลก

อดัม จอห์นสัน ปีกดาวรุ่งของ“เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี อาจถูกหวยรางวัลใหญ่ เมื่อ ฟาบิโอ คาเปลโล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ แย้มเป็นนัยว่า พร้อมจะหนีบเขาไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ในอีก 2 เดือนข้างหน้าด้วย

จอห์นสัน วัย 22 ปี โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจนับตั้งแต่ย้ายจาก มิดเดิลสโบรห์ มาอยู่กับ แมนฯ ซิตี เมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา และ คาเปลโล ก็แย้มว่า อาจจะเรียกตัวปีกถนัดซ้ายรายนี้ มาติดทีมสิงโตคำราม ในเกมอุ่นเครื่อง 2 นัดสุดท้าย กับ เม็กซิโก ที่เวมบลีย์ วันที่ 24 พ.ค. นี้ และกับ ญี่ปุ่น ที่ออสเตรีย ในวันที่ 30 พ.ค. เพื่อดูฟอร์มก่อนที่ คาเปลโล จะตัดสินใจเลือกผู้เล่น 23 คน ที่จะได้ติดทีมไปทำศึกเวิลด์คัพต่อไป.
ที่มา http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=282&contentID=60245

'ชีวิตที่สมบูรณ์ ต้องมีการเคลื่อนไหว'



“Life is movement-Movement is life” ชีวิตต้องมีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวทำให้มีชีวิต เป็นคำกล่าวที่ดูพื้น ๆ เข้าใจง่าย ใครอ่านก็ต้องบอกว่าเหมือนกำปั้นทุบดิน ใคร ๆ ก็รู้ สมัยเรียนชั้นประถมคุณครูก็สอนว่าสิ่งมีชีวิตคืออะไร สิ่งมีชีวิตต้องมีการเจริญเติบโต และต้องมีการเคลื่อนไหว ฯลฯ

ปัจจุบันคนเราถูกทำ หรือ ทำตัวเองเหมือนกับว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต เช่น นั่งอยู่นิ่ง ๆ ไม่เคลื่อนไหวนานหลายชั่วโมงที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทีวี โต๊ะทำงาน หรือในรถยนต์ เป็นอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า จนในที่สุดร่างกายของเราก็ไม่สามารถแบกรับภาระไหว เรียกว่า overuse หรือ ถ้าเป็นล้อรถก็เรียกว่ายางแตก หรือยางระเบิด เพราะเหมือนเราขับ รถมาต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดพักอย่างเพียง พอนั่นเอง ในที่นี้อวัยวะที่ผมจะกล่าวถึงก็คือ “หมอนรองกระดูก” ที่อยู่ตรงบริเวณกระดูกสันหลังของเราทุกคน ทำหน้าที่เชื่อมต่อปล้องกระดูกสันหลังเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เราสามารถก้มได้ เงยได้ บิดตัว แอ่นหลังได้ นอกจากนี้หมอนรองกระดูกยังทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกในทุกขณะที่เราเดิน ยืน หรือวิ่ง หากปราศจากหมอนรองกระดูกแล้ว คนเราก็จะสูญเสียสภาพการเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถก้มเงย หรือเดินได้ เพราะเส้นประสาทสันหลังจะถูกเบียด และถูกกด จนสูญเสียการสั่งงานเหมือนสายไฟฟ้าถูกตัดขาด ไม่สามารถส่งกระแสไฟไปยังปลายทางได้

ทำอย่างไรเราจึงจะคงสภาพของหมอนรองกระดูกให้มีอายุการใช้งานที่ยืนนานได้ โดยปกติหมอนรองกระดูกจะสูญเสียสภาพหรือความสมบูรณ์ไปเมื่ออายุ 40-70 ปี แต่ในปัจจุบันเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่งที่เราพบหมอนรองกระดูกแตก ในวัยรุ่นหรือคนอายุก่อนวัย 20 ปีเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ อันเนื่องมาจากการใช้อย่างสมบุกสมบันจากกิจกรรมอื่นที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน เช่น นั่งเล่นเกมต่อเนื่องนานนับหลายชั่วโมงจนเป็นกิจวัตรประจำวัน และต้องยอมรับว่าในปัจจุบันผู้ผลิตเกมได้ผลิตเกมออกมาทันสมัย เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังชอบเล่นเกม เพราะให้ความบันเทิง เพลิดเพลินได้อย่างดี ในยามภาวะที่มีปัญหาสังคม หลากหลาย ที่ผมกล่าวมานี้ ผมไม่ได้ห้ามเล่นเกมนะครับ เพียงแต่ต้องรู้จักเล่นอย่างมีสติ และพักผ่อนบ้าง แต่สำหรับวัยรุ่นที่ยังขาดความยับยั้งชั่งใจและไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของผู้ปกครอง โอกาสที่เด็กจะเป็นทาสของเกมก็ยิ่งเป็นไปได้สูง ผลเสียที่ตามมาก็คือโรคหมอนรองกระดูกเสื่อมก่อนวัยอันควร หรือเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ซึ่งไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เพราะไม่ว่าจะมีอวัยวะเทียม, โลหะหมอนรองกระดูกเทียม, ข้อหมอนรองกระดูกเทียมที่ดีที่สุดในโลกก็ไม่สามารถมาทดแทนหมอนรองกระดูกตามธรรมชาติของเราได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกับท่าทางการนั่ง การยืน หรือการนอนว่าท่วงท่าใดบ้างที่มีผลเสียต่อหมอนรองกระดูกมากน้อยอย่างไร

เมื่อพิจารณาตามรูปกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันกับแรงกดที่หมอนรองกระดูกสันหลัง โดยให้แกนแนวตั้งเป็นน้ำหนักที่กระทำต่อหมอนรองกระดูกสันหลัง (หน่วยเป็นกิโลกรัม) ส่วนแนวนอนเป็น อิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเราจะพบว่าท่าที่ทำให้เกิด แรงดัน หรือแรงกด ต่อหมอนรองกระดูก มากที่สุดก็คือ ท่านั่ง โดยเฉพาะท่านั่งในที่นั่งแบบไม่มีพนักพิง ซึ่งมีแรงดันสูงมากถึง 275 กิโลกรัม เทียบเท่ากับว่าเราแบกคนน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมไว้ประมาณ 5 คนกว่า ๆ ลองคิดดูซิครับว่าเฉพาะท่านั่งที่ผิดสรีรวิทยาทำให้เกิดแรงกดมหาศาล แล้วส่วนใหญ่เราเองก็ชอบนั่งท่านี้เวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันนานนับหลายชั่วโมงต่อวัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านรู้แบบนี้แล้วอย่าลืมเปลี่ยนอิริยาบถ ๆ จากนั่งมาเป็นท่ายืน จะช่วยลดแรงกดเหลือ 100 กิโลกรัม และเหลือน้อยที่สุดเพียง 25 กิโลกรัมใน “ท่านอน”

อย่าลืมนะครับ แรงกดเปลี่ยนไปนับ 10 เท่าทีเดียว เพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถ ย้ำเตือนตัวเองและลูกหลานไว้เสมอว่าอย่านั่งนาน ถ้าคิดจะนั่ง ต้องนั่งให้ถูกวิธี ที่สำคัญอย่านั่งนานเกินกว่า 1 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ และหากท่านมีอาการปวดหลัง การนอนราบไปกับพื้นเป็นท่าที่ดีที่สุดที่จะช่วยบรรเทาอาการได้

ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์จิระเดช ตุงคะเศรณี ศูนย์กล้ามเนื้อกระดูกและข้อ โรงพยาบาลพญาไท 2.

นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์

'ผึ้ง-ต่อ' ต่อย ทำไงดี ?


มีคำพยากรณ์ว่าในอนาคตแมลงจะครองพื้นผิวโลกจากการเปลี่ยนแปลงของวัฏสงสารของสิ่งมีชีวิตการฆ่าทำลายล้างกัน มนุษย์ผลิตยาฆ่าแมลงแต่แมลงบางชนิดก็สามารถทนทานยาได้ มนุษย์ต้องใช้ยาฆ่าแมลงที่แรงเพิ่มขึ้นจนมีอันตรายต่อมนุษย์เอง การย้ายถิ่นฐานของแมลงจากการปรวนแปรของสภาพอากาศ มนุษย์บุกรุกทำลายป่าซึ่งเป็นที่อาศัยของแมลง บางครั้งก็นำแมลงมาเป็นอาหาร ดังนั้นแมลงเช่นผึ้งและต่อจึงบุกไล่ป้องกันตัว

รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปัญหาแมลงกัดต่อยจะมีเพิ่มขึ้นจากจำนวนแมลงที่มีมากขึ้น ความนิยมท่องเที่ยวทะเลและป่าก็เป็นการบุกรุกที่อาศัยของแมลง แมลงบางชนิดไม่มีพิษ แต่เมื่อกัดต่อยจะก่อให้เกิดความรำคาญ หรือบางคนอาจแพ้เป็นตุ่มคัน เช่น ตุ่มคันจากลิ้นทะเลกัดเมื่อเที่ยวชายทะเล หรือแพ้ตัวคุ่นซึ่งเป็นตัวเหลือบเมื่อเที่ยวป่าภาคเหนือ หลายท่านได้ตุ่มคันรุนแรงและเรื้อรังกลับมาเป็นที่ระลึก

ในฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงหยุดพักผ่อนเป็นช่วงที่แมลงชุกชุม และแมลงที่มีพิษ เช่น ผึ้งและต่อก็ออกมาทำรังสะสมอาหาร พิษของผึ้งและต่อรุนแรงมีอันตรายต่อชีวิตได้ เพราะพิษมีสารหลายชนิดซึ่งทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาท เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์เม็ดเลือดแดง มาสต์เซลล์ ซึ่งมีสารหลายชนิด เช่น ฮีสตามินไคคิน และฟอสโฟไลเปสเอ สารเหล่านี้เมื่อหลั่งออกมาทำให้เกิดลมพิษ อาจ เป็นเฉพาะที่หรือกระจายทั่วตัว และถ้าเกิดการบวมในท่อหายใจ ระบบหายใจจะล้มเหลว สาร ยังทำให้ความดันโลหิตตก เกิด อาการช็อกและเสียชีวิตอย่าง รวดเร็ว

ในประเทศสหรัฐอเมริกาประชากรซึ่งเสียชีวิตจากตัวต่อต่อย จะสูงกว่าถูกงูพิษกัด พิษของตัวต่อจะร้ายแรงกว่างูพิษ ตัวต่อมีพิษรวมของพิษงู 3 ชนิด คือ เป็นพิษต่อระบบประสาทเหมือนพิษงูเห่าหรืองูจงอาง และพิษต่อเม็ดเลือดแดงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกและเกิดไตวายตายเหมือนพิษงูเขียวหางไหม้ และทำให้กล้ามเนื้อตายเหมือน งูทะเล และยังทำให้ความดันโลหิตตกจนช็อกได้อย่างรวดเร็ว ในพิษยังพบสารโปรตีนกระตุ้นระบบภูมิแพ้ ดังนั้นถ้าเคยถูกต่อยและมีอาการแพ้ การถูกต่อยในครั้งต่อไปจะรุนแรงมากและอันตรายถึงชีวิตได้ ในคนแพ้ผึ้งหรือต่อจึงต้องพกพายาฉีดแก้แพ้ตลอดเวลา

อาการผึ้งหรือต่อต่อยจะเกิดอาการปวดรุนแรงมาก และอาการบวมจะเกิดภายใน 12 ชั่วโมง ถ้ารอยกัดบวมอยู่ใกล้ระบบทางเดินหายใจอาจกดท่อหายใจได้ และภายใน 24 ชั่วโมง อาการคันอย่างรุนแรงจะเกิดตามมา

การปฐมพยาบาลที่แนะนำในหนังสือเพื่อลดอาการปวดจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติ เช่น การประคบด้วยน้ำแข็ง หรือการฉีดยาชาแก้ปวดเพราะคงไม่มีใครเตรียมน้ำแข็งและยาชาไปท่องเที่ยวด้วย จากการศึกษาการใช้สิ่งใกล้ตัว เช่น น้ำมะนาว น้ำส้มสายชู สบู่ ครีมทาผิว ผลไม้หลากหลายชนิด หอม กระเทียม ยาสีฟัน ใบหรือรากไม้ ก็ไม่ได้ผล ก็คงต้องรอและร้องไปจนทุเลาเอง คนในภาคอีสานจะใช้หนอนตัวต่อทาคงเป็นอุบายที่จะกินหนอนต่อมากกว่า เพราะการจะได้หนอนต่อคงต้องทำลายรังซึ่งใช้เวลานานอาการปวดคงทุเลา

หลังอาการปวดทุเลาอาการคันที่รุนแรงจะเข้ามาแทน ก็แนะนำให้ใช้ยาทาที่ทำให้เย็นหรือยาทาสเตียรอยด์ และรับประทานยาแก้แพ้แอนตี้ฮีสตามีน แต่จากประสบการณ์ของตัวหมอเองที่ถูกต่อต่อย เมื่อไปฝึกกรรมฐานช่วงเดือน มี.ค. พบว่า ทำตามคำแนะนำก็ไม่ได้ผล เกาจนถลอก จึงลองฝังเข็ม พบว่าอาการคันทุเลา แผลผื่นหายใน 24-48 ชั่วโมง

ส่วนในรายงานอาการรุนแรง เช่น ช็อก ชัก หรือไตวายคงจะต้องมาพบแพทย์ ผึ้งและต่อมักต่อยบริเวณหนังศีรษะและหน้า พบบ่อยในเด็ก ผึ้งจะต่อยครั้งเดียวและฝังเหล็กในและถุงพิษไว้ เมื่อผึ้งต่อยจึงต้องถอนเหล็กในทันทีโดยใช้สันมีดขูดออก ส่วน ต่อต่อยได้หลายครั้ง อันตรายจากการถูกรุมต่อยจะรุนแรง

ขอแนะนำว่าเมื่อทราบว่าถูกต่อหรือผึ้งต่อยให้อยู่นิ่ง ๆ อย่าวิ่ง เพราะต่อและผึ้งจะส่งสัญญาณให้เพื่อน ๆ มาช่วยกันรุม คงต้องเอาเสื้อคลุมหน้าและศีรษะ ถ้าอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และว่ายน้ำเป็นมีหลาย คนแนะนำให้โดดลงและดำน้ำหนี

การไปเที่ยวพักผ่อนในฤดูร้อนนี้การป้องกันคงจะดีที่สุด มีคำแนะนำดังนี้ 1.ควรใส่เสื้อผ้าสีขาว น้ำตาล หรือเขียว อย่าสวมเสื้อสีสดเหมือนสีดอกไม้ หรือเสื้อลายดอกไม้ เพราะตาของผึ้งและต่อจะไวต่อสีมาก 2.งดใช้น้ำหอมหรือเครื่องหอม หรือผลิตภัณฑ์กลิ่นหอม 3.งดการสวมเครื่องประดับ 4.ใส่เสื้อผ้าที่ถ่ายเทอากาศได้ดีเพราะกลิ่นเหงื่อจะดึงดูดแมลง 5.อย่าเด็ดดอกไม้เพราะอาจมีผึ้งหรือต่อดูดน้ำหวานอยู่ 6.สวมรองเท้าหุ้มป้องกัน และเดินอย่างระวังในบริเวณพุ่มไม้ ทุ่งหญ้า กอง ขยะ และตึกร้าง 7.ทายาไล่แมลงบริเวณนอกร่มผ้า 8.ควรให้ความรู้ชนิดของแมลงที่มีอันตรายแก่เด็ก 9.ทำลายรังผึ้งหรือต่อโดยผู้รู้ 10.เตรียมยาแก้แพ้ไว้ประจำตัว และเมื่อถูกต่อยต้องมีสติ พยายามอยู่นิ่ง ๆ ดึงเสื้อคลุมหนังศีรษะ

รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า ผึ้งและต่อเป็นแมลงที่มีประโยชน์ ผึ้งดูดน้ำหวานจากดอกและจะผสมเกสร ส่วนต่อนอกจากดูดน้ำหวานจากดอกไม้ ยังกินแมลงตัวหนอน เนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงอาจช่วยกำจัดแมลงที่ทำลายธัญพืช ทั้งผึ้ง และต่อจะไม่ทำร้ายคน ถ้าไม่ถูกรบกวน โดยเฉพาะจะหวงรัง ดังนั้นอย่าตื่นเต้นกลัว อย่างไรก็ตาม พบว่าการโบกปัดไล่อาจทำให้ต่อตกใจและส่งสัญญาณมารุมกัดได้ ต้องระลึกไว้ว่าทางใครทางมันก็จะอยู่กันได้อย่างสงบสุข.

นวพรรษ บุญชาญ : รายงาน

แนวทางป้องกันการติดเชื้อในกระแสเลือด...


เพื่อเสริมการรักษา

แม้ว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านมีความตั้งใจที่ต้องดูแลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างดีที่สุดเสมอตามจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่เมื่อช่วงต้นปีปรากฏข่าวการติดเชื้อหลังการผ่าตัดต้อกระจก ทำให้ประชาชนเกิดความสนใจประเด็นปัญหาเรื่องการติดเชื้อในสถานพยาบาลมากขึ้น จนบางคนอาจตระหนกกับการไปโรงพยาบาลเลย ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยของสถานพยาบาล จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนของหน้าที่ของบุคลากรสาธารณสุข หน่วยงาน องค์ กร และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ เพื่อหามาตรการและแนวทางป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ตลอดเวลาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้ มีแพทย์และพยาบาลด้านโรคติดเชื้อและเวชบำบัดวิกฤติกว่า 200 คน เข้าร่วมประชุมวิชาการแพทย์ ในหัวข้อ “จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ เพื่อสร้างมาตรฐานป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล” เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการควบคุมการติดเชื้อทางกระแสเลือดในโรงพยาบาล ณ โรงแรมพูลแมน โดยมี นพ.วิคเตอร์ ดี โรเซนทอล ประธานสมาพันธ์ควบคุมการติดเชื้อในโรงพยา บาลนานาชาติ (International Nosocomial Infection Control Consortium: INICC) และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของชาวอาร์เจนตินา ได้มาบรรยายว่า การติดเชื้อในโรงพยาบาลไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในสถานพยาบาลของไทยเท่านั้น แต่เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ พบว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อในโรงพยาบาลกว่า 1.4 พันล้านคน ในประเทศที่กำลังพัฒนามีอัตราผู้ป่วยติดเชื้อสูงมากคือ 1 ในจำนวนผู้ป่วย 4 ราย ซึ่งการติดเชื้อในโรงพยาบาล มักเกิดขึ้นในผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องใส่อุปกรณ์เข้า ไปในร่างกาย เช่น การใส่สายสวนหลอดเลือด การใส่สายสวนปัสสาวะ การใส่เครื่องช่วยหายใจ และการให้สารน้ำหรือของเหลวเข้าทางหลอดเลือด เป็นต้น

การติดเชื้อทางกระแสเลือด เป็นหนึ่งในปัญหาการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่พบบ่อย ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากที่ผู้ป่วยต้องใส่สายสวนหลอดเลือดเป็นเวลานาน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อในกระแสเลือดจาก 2 ทางด้วยกัน คือจากเชื้อที่อยู่ตามผิวหนัง และจากเชื้อที่ แพร่กระจายไปทางสายสวนหลอดเลือดเอง ซึ่งหากเกิดการติดเชื้อขึ้นแล้วจะส่งผลให้การรักษาผู้ป่วยยากยิ่งขึ้น ผู้ป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลนานและเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องใช้ยาราคาแพงในการรักษา และมีโอกาสเกิดเชื้อดื้อยาสูง ทั้งนี้ หากมีอาการติดเชื้ออย่างรุนแรง ก็อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

แนวทางการควบคุมการติดเชื้อทาง กระแสเลือดในโรงพยาบาล สามารถควบคุมได้ โดยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยสำคัญ คือ

1)การปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัดของบุคลากรผู้เกี่ยวข้องทางการแพทย์

2)การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเลือกใช้อุปกรณ์กับ ผู้ป่วยมีความสำคัญมาก ทั้งชนิด ขนาด และวัสดุของอุปกรณ์สายสวนที่เหมาะสมกับผู้ป่วย ความสะอาดของ เครื่องมือ โดยในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีการศึกษารับรองว่า สามารถ ช่วยลดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ เช่น สายสวนชนิดพิเศษที่มีการเคลือบยาฆ่าเชื้อ การให้สารละลายหรือน้ำเกลือด้วยภาชนะถุงนิ่มที่เป็นระบบปิดซึ่งป้องกันการติดเชื้อทางกระแสเลือด ที่สามารถลดโอกาสการติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

นพ.วิคเตอร์ ได้นำเสนอผลงานวิจัยการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง การให้สารละลายแบบขวดซึ่งเป็นระบบเปิดกับการให้สารละลายแบบถุงนิ่มซึ่งเป็นระบบปิด (Closed system) ใน 4 ประเทศ คือ อิตาลี เม็กซิโก บราซิล และอาร์เจนตินา พบว่า หลังจากเปลี่ยนมาใช้ภาชนะแบบถุงนิ่มระบบปิด ทำให้อัตราการติด เชื้อในกระแสเลือดลดลงกว่า 60% ภาชนะถุงนิ่มระบบปิดนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ คือมีความยืดหยุ่นสูง มีแรงบีบตัวทำให้สารละลายในถุงทั้งหมดสามารถไหลเข้าสู่ร่างกายผู้ป่วยได้อย่างคง ที่และครบถ้วน โดยไม่ต้องอาศัยอากาศเข้าไปแทนที่น้ำเพื่อดันสารละลายออกมา เช่น ภาชนะ แบบขวดแก้ว หรือขวดพลาสติกชนิดกึ่งแข็ง ที่ต้องให้อากาศเข้าไปแทนที่สารละลายในขวด เพื่อให้สารละลายไหลออกมา โดยอาจใช้เข็มแทงด้านบนขวด หรือใช้อุปกรณ์ให้ยาที่สามารถให้อากาศผ่านเข้าไปในขวดได้ ภาชนะถุงนิ่มระบบปิดจึงช่วยลดโอกาสที่สารละลายจะสัมผัสกับเชื้อในอากาศ ทำให้ลดโอกาสการติดเชื้อได้ ทั้งยังเหมาะกับการให้สารละลายในผู้ป่วยพิเศษที่จำเป็นต้องได้รับยาอย่างครบถ้วน เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยไอซียู เป็นต้น

ข้อมูลจาก รองศาสตราจารย์ นายแพทย์อนุชา อภิสารธนรักษ์ หน่วยโรคติดเชื้อ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ตามที่ได้ทำการศึกษาแนวทางการป้องกันการติดเชื้อ ในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรตินั้นพบว่า การกำกับดูแลผู้ป่วยอย่างเข้มข้นมากขึ้นในขณะที่กำลังใส่ สายสวนหลอดเลือด เช่น เพิ่มจำนวนครั้งในการล้างมือทั้งก่อนและหลังปฏิบัติงาน สวมใส่ชุดปฏิบัติงานให้เหมาะสมทุกครั้งก่อนการใส่สายสวนหลอดเลือดให้กับผู้ป่วย เช่น หน้ากาก เสื้อคลุม ถุงมือ ฯลฯ ใช้ยาฆ่าเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่ใส่สายสวน การพิจารณาเอาสายสวนออกในผู้ป่วยที่ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อในกระแสเลือดได้มาก วิธีการเหล่านี้ยังสามารถลดค่าใช้จ่าย โดยรวมทั้งของผู้ป่วยเองและในระดับประเทศ รวมถึงลดความสูญเสียที่อาจเกิดกับผู้ป่วยอีกด้วย การใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมนั้นอาจมีความ จำเป็นถ้าโรงพยาบาลไม่สามารถลดอัตราการ ติดเชื้อได้ หลังจากมีการกำกับดูแลผู้ป่วยอย่างเข้มข้นมากขึ้นในขณะที่กำลังใส่สายสวนหลอดเลือดแล้ว

อย่างไรก็ตาม แนวทางและการปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลนั้น นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดของโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ในส่วนของตัวผู้ป่วยเอง ญาติและครอบครัวก็ต้องให้ความร่วมมือด้วย โดยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การล้างทำความสะอาดมือทั้งก่อนและหลังเข้าเยี่ยมผู้ป่วย จำกัดการเยี่ยมเฉพาะที่จำเป็น ห้ามผู้ที่มีอาการไข้หวัดเข้าเยี่ยมโดยเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยใกล้ชิด สัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง และผิวหนังที่มีบาดแผลของผู้ป่วย และสังเกตอาการ ตนเองว่ามีไข้ อาการผิดปกติระบบทางเดินหายใจ หรือไม่หลังเยี่ยมครั้งสุดท้ายภายใน 7 วัน หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์

พบว่าปัจจุบันโรงพยาบาลในไทยได้ ตื่นตัวในการพัฒนาโรงพยาบาลสู่มาตรฐานในระดับโรงพยาบาลคุณภาพในระบบ Joint Commission International (JCI) มาก ขึ้น นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เนื่องจากจะทำให้ประชาชนได้รับการบริการและการรักษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับนานาชาติ ซึ่งหากมองในระยะยาว ก็จะเป็นการผลักดันให้เกิดการพัฒนาโรงพยาบาลเพื่อให้เกิดมาตรฐานของโรงพยาบาลที่ดี และการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลประโยชน์สูงสุดต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยต่อไป

ข้อมูลจาก ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ.

นายแพทย์สุรพงค์ อำพันวงษ์

น้ำคลอโรฟิลล์


เห็นหลายคนนิยมดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ ตามกระแสคนรักสุขภาพ บ้างก็เชื่อว่า ดีต่อสุขภาพมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะช่วยล้างพิษ สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคบางโรค บ้างก็บอกว่าเป็นน้ำอายุวัฒนะ

ยิ่งในปัจจุบัน พบว่ามีการโฆษณาขายน้ำคลอ โรฟิลล์กันเต็มไปหมดโดยเฉพาะทางอินเทอร์เน็ต ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงมาคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เพื่อไขข้อกระจ่างในเรื่องนี้ให้ผู้อ่านได้รับทราบกัน

นพ.กฤษดา กล่าวว่า คลอโรฟิลล์ เปรียบเสมือนเป็นเลือดของพืช ประกอบด้วยแมกนีเซียม มีคุณสมบัติช่วยเติมกระดูก เกลือแร่ได้ ที่สำคัญจะมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เหมือนกับพืชที่ จะใช้คลอโรฟิลล์ต้านอนุมูลอิสระจาก แสงแดด ยกตัวอย่างต้นกล้วยที่ต้นยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดนาน ๆ แต่มันไม่เหี่ยวไม่ตายก็เพราะว่า มันมีคลอ โรฟิลล์ นอกจากจะทำหน้าที่สังเคราะห์แสงแล้ว มันจะเป็น เหมือนด่านที่กันแดดเอาไว้ ไม่ให้แดดมาเผาใบทำให้เกิดอนุมูลอิสระ

ส่วนใหญ่คลอโรฟิลล์ที่นำมาทำเป็นน้ำคลอโรฟิลล์ให้เราดื่ม มักจะสกัดจากพืชที่มีคลอโรฟิลล์สูง เช่น สกัดจากต้นหญ้าอัลฟัลฟ่า ซึ่งมีอยู่ตามทุ่งราบอเมริกา ที่พบว่ามีคลอโรฟิลล์สูง จึงนิยมนำมาให้สัตว์กิน แต่เนื่องจากมีกากเยอะ คนกินไม่ได้ จึงได้นำมาสกัดเอาเฉพาะคลอโรฟิลล์

สำหรับน้ำคลอโรฟิลล์ที่จำหน่ายในบ้านเรา มีทั้งที่สกัดจากหญ้าอัลฟัลฟ่า และพืชผักอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นสีเขียวจาง ๆ ไม่เข้มข้นมาก ก็เพราะมีการนำมาเจือจางกับน้ำ ดังนั้นจึงไม่เข้มข้นเหมือนกับที่เรากินจากพืชผักสด ๆ

ถามว่าควรจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์หรือไม่ นพ.กฤษดา ตอบว่า ก็ต้องบอกว่า เป็นทางเลือกหนึ่ง ถ้ามีสตางค์กินได้ ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเป็นผมจะกินจากผักสดดีกว่าเพราะได้กากใยจากผักด้วย

ความจริงแล้วในชีวิตประจำวันของคนเรา สามารถเลือกกินคลอโรฟิลล์ได้จากพืชใบเขียวต่าง ๆ เพราะคลอโรฟิลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ใบของพืชผัก สังเกตได้ง่าย ๆ ตรงไหนมีคลอโรฟิลล์เยอะ ก็คือตรงที่พืชใช้สังเคราะห์แสงนั่นเอง

พืชผักใบเขียวหลายชนิดที่มีคลอโรฟิลล์ เช่น คะน้า ตะไคร้ ใบเตย สะระแหน่ ขึ้นฉ่าย ผักโขม ปวยเล้ง ใบแมงลัก สาหร่ายทะเล ถ้าไม่อยากเสียสตังค์กินสด ๆ ได้ หรืออาจจะนำมาปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำก็ได้ ก็จะทำให้ได้น้ำคลอโรฟิลล์ที่เข้มข้นมากขึ้น หรือจะต้มน้ำใบเตย น้ำตะไคร้ก็ได้ หรือบางคนอาจจะนำมาใส่ในอาหาร เช่น ต้มเปรอะจะใส่ใบย่านางหรือใบแมงลัก เป็นต้น อย่างไรก็ตามคงต้องบอกว่า คลอโรฟิลล์ ไม่ควรนำไปอุ่นหรือโดนความร้อนจัดจนเกินไป เพราะทำให้เสื่อมสลายไปได้

โดยหลักแล้วควรจะกินหรือไม่ ? นพ.กฤษดา กล่าวว่า อย่างที่บอกถ้ามีสตางค์กินได้ก็ดี ดีกว่าน้ำเปล่า แต่ข้อควรระวังคือ ในคนที่มีเกลือแร่ในเลือดไม่ค่อยสมดุล อย่างคนที่เป็นโรคไต อาจจะขับเกลือแร่ไม่ได้ ดังนั้นต้องพึงระวังว่า อาจจะได้รับเกลือแร่เกินจากคลอโรฟิลล์ หรือในคนที่เป็นโรคหัวใจก็ต้องระวังเช่นกัน เพราะแมกนีเซียมถ้ามีเยอะเกินไปอาจจะมีผลต่อการบีบตัวของกล้ามเนื้อและการเต้นของหัวใจได้

นพ.กฤษดา บอกว่า ที่มีการโฆษณากันและไม่เป็นไปตามนั้น ก็คือ กรณีที่บอกว่าคลอโรฟิลล์ช่วยสร้างพลังงานให้กับร่างกายนั้น ความจริงคือเมื่อเรากินเข้าไปคลอโรฟิลล์จะไม่ได้ช่วยสังเคราะห์แสงเหมือนในพืช ตรงนี้หลายคนมักจะเข้าใจผิดกัน และอีกเหตุผลหนึ่งที่คนหันมาดื่มน้ำคลอโรฟิลล์กันมาก แทนที่จะกินจากผักสด ก็คงเพราะกลัวเรื่องสารพิษ หรือยาฆ่าแมลงในผัก ก็เลยเลือกคลอโรฟิลล์ที่สกัดแล้ว

ท้ายนี้คงขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านแล้วละว่า หลังจากที่ นพ.กฤษดา ให้ข้อมูลแล้วจะดื่มน้ำคลอโรฟิลล์ต่อหรือไม่ เพราะอย่างที่บอก คลอโรฟิลล์ก็มีประโยชน์ แต่สามารถหากินได้ง่ายจากพืชผักใบ เขียวต่าง ๆ ถ้าใครกระเป๋าหนักจะหามาดื่มก็ไม่ว่ากัน.

นวพรรษ บุญชาญ : สัมภาษณ์

Saturday, March 27, 2010

หวานอมเปรี้ยว ล้างพิษ ต้านมะเร็ง

ทำกินง่ายได้คุณค่า

เครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพที่แก้วนี้มีทีเด็ดช่วยล้างพิษ และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวการก่อมะเร็งมีส่วนผสมจากผักและผลไม้ที่ต้องเตรียมเพียง 3 ชนิด ประกอบด้วย ลูกแพร์ กีวี และมะนาว

เห็นเครื่องดื่มแก้วนี้มีส่วนผสมแค่น้อยนิด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยสารอาหารมหัศจรรย์ให้ประโยชน์กับร่างกาย เริ่มจาก 'ลูกแพร์' เต็ม ไปด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม พร้อมแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ลดคอเลสเตอรอล ชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ทำความสะอาดไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะที่ส่วนของผลลูกแพร์ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ได้จากใยอาหาร กรดไฮดรอกซีซินนามิก และเส้นใยเพ็กตินช่วยขับโลหะหนักออกจากร่างกาย

ต่อด้วย 'กีวี' มา พร้อมวิตามินซี แมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม และเบตาแคโรทีน ก็ยังมีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์และเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อมโทรมและเกิดโรคภัย

สุดท้ายกับ 'มะนาว' ผล กลมรสเปรี้ยว ให้วิตามินบี1 บี2 บี4 วิตามินซี คาร์โบรไฮเดรท โปรตีน และแร่ธาตุ ช่วยขับของเสียอย่างเสมหะ และพยาธิออกจากร่างกาย แล้วยังช่วยแก้ไอ เลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม แก้วิงเวียนศีรษะ

เห็นแจ้งกับสรรพคุณช่วยต้านมะเร็งอย่างดีเยี่ยมกันแล้ว ก็ต้องเตรียมส่วนผสมให้ได้สัดส่วน ต่อไปนี้...

ลูกแพร์สุกเต็มที่ 2 ถ้วย

กีวี 1 ถ้วย

มะนาว 1 ถ้วย

ลงมือปรุง โดยเริ่มจากปอกเปลือกกีวีทั้งผล จากนั้นให้ฝานเนื้อกีวีออกเป็นแว่น ๆ ส่วนลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นพอหยาบ แล้วนำกีวีกับลูกแพร์ไปสกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ อย่าลืมคั้นน้ำมะนาวเพื่อใช้น้ำ ได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้วจึงนำมาผสมคนให้เข้ากัน ดื่มได้ทันที หรือถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่นก็ยังได้ ปรุงดื่มเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ดีนักแล

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.thaihealth.or.th/node/13366

คนอ้วนดื่มเหล้าอันตรายเพิ่ม 2 เท่า

เสี่ยงตับแข็งสูงกว่าปกติ

คนอ้วนที่ชอบดื่มเหล้าและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์เสี่ยงที่จะเป็นโรคตับแข็งและโรคอื่นๆ เกี่ยวกับตับมากกว่าคนน้ำหนักปกติถึง 2 เท่า นี่ เป็นผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ของอังกฤษ ที่ทำการศึกษาจากทั้งชาย-หญิงชาวอังกฤษวัยกลางคนกว่า 1 ล้านคน โดยผลลัพธ์ที่ออกมาทั้งชาย-หญิง มีความเสี่ยงเท่ากันหากว่าดื่มเหล้า เช่นกรณีของผู้หญิงอ้วนที่ดื่มไวน์มากกว่าวันละ 1 แก้ว มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าที่จะเป็นโรคตับมากกว่าผู้หญิงกลุ่มอื่น

ใน สหราชอาณาจักร อัตราของผู้เป็นโรคตับและโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเหล้าและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคตับและมีหลัก ฐานชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า ความอ้วนก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ โดยทางการของอังกฤษประเมินว่า เกือบ 20% ของหญิงวัยกลางคนอังกฤษเกิดโรคตับจากปัญหาอ้วน และเกือบ 50% เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเมื่อคนอ้วนไปดื่มแอลกอฮอล์อันตรายและความเสี่ยงของโรคก็สูงขึ้นมาก

ผล การวิจัยนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะชี้แนะได้ว่า การลดดื่มเหล้าจะช่วยลดโรคเกี่ยวกับตับได้ด้วย ขณะเดียวกันการควบคุมน้ำหนักตัวก็มีความสำคัญ ซึ่งปัญหาโรคตับนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้กรมสุขภาพของอังกฤษกำลังหา กลยุทธ์ระดับชาติในการแก้ไข

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

http://www.thaihealth.or.th/node/14711

ป่วยโรคทางเดินหายใจ สูดควันอาจตายได้

แนะอาการกำเริบให้รีบพบแพทย์

แพทย์ จุฬาฯ เตือนผู้ป่วยโรคปอด-ระบบทางเดินหายใจในภาคเหนือ สูดหมอกควันทุกวัน อาการกำเริบก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ แนะอาการกำเริบรีบพบแพทย์ จี้รัฐรณรงค์ให้หยุดเผาต้นไม้

ผศ.นพ.กมล แก้วกิติรณรงค์ อาจารย์ สาขาวิชาโรคระบบการหายใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงปัญหาหมอกควันในภาคเหนือซึ่งบางพื้นที่มีค่าปกคลุมอยู่ในภาคเหนือ นั้นจะมีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือโดยกลุ่มคน ปกติ หากหมอกควันที่มีละอองฝุ่นต่ำกว่า 10 ไมครอน จะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ง่ายและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น โรคเกี่ยวกับปอดและระบบการหายใจ แต่ขณะนี้ยังไม่มีผลวิจัยยืนยันว่าก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ส่วนกลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับปอดและระบบการหายใจ เช่น โรคหืด โรคถุงลมโป่งพอง หากสูดหมอกควันเข้าไปทุกวัน จะทำให้อาการกำเริบก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ถ้าเริ่มมีอาการกำเริบควรรีบไปพบแพทย์

" ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือที่มีหมอกควันปากคลุม ควรเปิดให้บ้านมีอากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองตกค้างอยู่ในบ้าน เมื่อเดินทางออกนอกบ้านควรใส่หน้าการอนามัยหรือใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกไว้ เพื่อไม่ให้ฝุ่นละอองจากหมอกควันเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถ้าพบว่ามีอาการผิดปกติเกี่ยวกับปอดและระบบการหายใจให้รีบไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องควรเร่งหาวิธีแก้ปัญหานี้ในระยะยาว เช่น การรณรงค์ให้หยุดเผาต้นไม้ ซังข้าว" ผศ.นพ.กมล กล่าว

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ที่มาhttp://www.thaihealth.or.th/node/14721
ฟิต ไม่ ฟิต


การเอาใจใส่สุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง มีผู้คน จำนวนไม่น้อยที่จะทราบถึงสุขภาพของตนเองก็ต่อเมื่อมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้น ซึ่งทำให้เสียทั้งเศรษฐกิจการงานเสียทั้งคุณภาพชีวิต เข้ากับสุภาษิตที่ว่า วัวหายแล้วจึงล้อมคอก หลายคนมักคิดว่าการตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป ก็เพียงพอในการบ่องบอกประสิทธิภาพร่างกายซึ่งไม่เป็นจริงเสมอไป ทั้งนี้เนื่องจากการตรวจสุขภาพทั่วไปอันประกอบด้วย การเจาะเลือด เอ็กซเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ เหล่านี้เป็นการตรวจเช็คร่างกายในขณะพักเท่านั้น ไม่ได้ตรวจในขณะที่ร่างกายมีการออกกำลังกาย จึงไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสมรรถภาพร่างกายดีเพียงไร

สมรรถภาพร่างกายที่ดี หมายถึง ความสามารถของร่างกายในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ เช่นการออกกำลังกาย การเล่นกีฬา ได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่

ประสิทธิภาพของร่างกาย ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ มาจากการทำงานอย่างสัมพันธ์กันอย่างดีของอวัยวะหลายๆส่วนของร่างกาย ซึ่งจะสอดคล้องกับลักษณะของกิจกรรมแต่ละอย่างแต่ละประเภท ดังนั้นบุคคลที่มีสมรรถภาพทางกายดี ย่อมสามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเคลื่อนไหวร่างกายได้นาน ไม่เหนื่อยง่าย ในทางตรงข้ามผู้ที่สมรรถภาพทางกายต่ำ หมายถึงการขาดความสมบูรณ์ทางกาย ทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยเร็วกว่าที่ควร ความเหน็ดเหนื่อยทำให้การตัดสินใจช้าลง และการสั่งงานของสมองต่อระบบเคลื่อนไหว ช้าลง หรืออาจไม่เป็นไปตามความคิดได้ทันท่วงที

กาทดสอบสมรรถภาพ มีประโยชน์คือ ทำให้ทราบถึงระดับความสามารถของร่างกาย ในแต่ละด้าน ที่จะทำหน้าที่ต่างๆ เป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถของร่างกาย หรือส่วนที่บกพร่องให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ เป็นแนวทางในการตัดสินใจความสามารถของร่างกายเพื่อนำไปสู่การออกกำลัง กายอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังเป็นสื่อในการกระตุ้นนักออกกำลังกายให้พัฒนาความสามารถของร่างกาย และรักษาความสมบูรณ์ของร่างกายให้คงอยู่อย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้ องค์ประกอบต่างๆ ของการตรวจสมรรถภาพร่างกาย ยังช่วยบ่งบอกหรือ สะท้อนถึงภาพของความมากน้อยของอัตราเสี่ยงของบุคคลนั้นต่อการเกิดโรค บางอย่างในอนาคต เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น

องค์ประกอบของการตรวจสมรรถภาพร่างกาย ได้แก่

1.การวัดขนาดและสัดส่วนของร่างกาย โดยการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนัง บริเวณของผิวหนังที่จะจับขึ้นมาวัดหาปริมาณของไขมันได้นั้นมีอยู่หลายแห่ง เช่นที่บริเวณด้านหลังของต้นแขน บริเวณด้านหน้าของต้นขา บริเวณขอบบนทางก้นข้างของกระดูกเชิงกราน บริเวณหน้าท้องด้านข้างสะดือ บริเวณด้านหลังตรงมุมล่างของกระดูกสะบัก การวัดค่าความหนาของชั้นไขมันนี้จะสามารถเทียบหาเป็นเปอร์เซ็นต์ของปริมาณ ไขมันที่มีอยู่ในร่างกายเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินว่าผู้ที่ได้รับการตรวจนั้น มีน้ำหนักตัวเกิน หรือมีภาวะอ้วน หรือไม่

รายงานวิจัยในปัจจุบันได้ยืนยันว่า การวัดความยาวรอบเอวจะเป็นค่าหนึ่งที่จะบ่งชี้ถึงความมากน้อยของอัตราเสี่ยง ต่อการเกิดโรคดังที่กล่าวไปแล้ว

2.สมรรถภาพเอ็นและกล้ามเนื้อ ได้แก่

2.1 การวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) เป็นการวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในชีวิตประจำ วัน เช่น กล้ามเนื้อแขน โดยการวัดแรงบีบมือ

2.2 ความอ่อนตัว (Flexibility) หมายถึงความสามารถของร่างกายในการเคลื่อนไหวให้ได้ทุกมุมของการเคลื่อน ไหวอย่างเต็มที่ การยืดหยุ่นตัวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ข้อต่อ ทำให้การเคลื่อนไหวคล่องตัวขึ้น การเคลื่อนไหวของข้อที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนเราคือหลังและไหล่ ผู้ที่มีความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆ น้อย จะมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บต่อข้อนั้นได้ง่าย เช่นที่พบบ่อยคือผู้ที่เริ่มมีภาวะหลังติดยึด เมื่อเอี้ยวตัวไปหยิบของที่เบาะหลังของรถอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังอย่าง เฉียบพลันได้ หรือผู้ที่มีข้อไหล่ติดยึดแข็งจะใส่เสื้อได้ลำบาก เป็นต้น การทดสอบความอ่อนตัวจะเป็นการชี้นำให้สามารถป้องกันหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ที่จะเกิดตามมาได้

3.การตรวจสมรรถภาพของระบบทางเดินหายใจ

เป็นการวัดปริมาตรความจุปอดและประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งผู้ที่สมรรถภาพปอดดี จะมีความทนทานต่อกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตประจำวันไม่เหนื่อยง่าย ในทางกลับกัน ผู้ที่มีสมรรถภาพปอดลดลง ก็อาจบ่งบอกถึงการขาดการออกกำลังกาย หรือมีพยาธิสภาพในปอด

4.การตรวจสมรรถภาพ ของระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด หมายถึง ความสามารถของร่างกายที่ทนต่อการทำงานในระดับความหนักต่างๆ กัน วัดโดยมีความหนักของงานเป็นตัวกำหนด เช่น การขี่จักรยาน การเดินสายพาน เป็นต้น เป็นการวัดอัตราการใช้ออกซิเจนของร่างกายขณะที่มีการออกกำลังกาย ซึ่งบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและปอดที่จะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้

โดย...พ.ญ.สุชีลา จิตสาโรจิตโต
ที่มา http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=6019.msg53978#msg53978

เดินอย่างเดียวแก้ได้ 7 โรค

สิ่งดีๆจากการออกกำลังกาย

การ ออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพดีแล้ว ยังช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เพราะไม่มีเวลา

ก็ให้ลองหาโอกาสเดินบ่อยๆ หรือวิ่งเหยาะๆ ดู เพราะจากการศึกษาของคณะแพทย์ของสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นพบว่า

การ เดินช่วยป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคร้ายได้ถึง 7 ชนิด ได้แก่ โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไขมันผิดปกติ อัมพาต มะเร็ง เป็นต้น

ส่วน การวิ่งเหยาะๆ จะช่วยให้หัวใจแข็งแรง ลดความเครียด และป้องกันโรคกระดูกพรุน เห็นข้อดีแบบนี้แล้ว เรามาเริ่มเดินๆ วิ่งๆ กันเสียแต่วันนี้จะดีกว่านเดินวันละนิด เพื่อชีวิตไร้โรคภัย ด้วยความห่วงใย

ที่มา: เอ็มเค
http://www.thaihealth.or.th/node/14332

ผู้ชายสุขภาพดีเริ่มที่ตัวเอง

ปรับความคิดชีวิตเพศปลอดภัย

ผู้ชายมีอิสระที่จะเรียนรู้เรื่องเพศ คือ ความเชื่อที่ใครๆ ก็มักคิดว่าผู้ชายมีข้อมูลและสั่งสมประสบการณ์ทางเพศไว้มากมาย เป็นมุมมองที่การถูกถ่ายทอดแบบผิดๆ โดยเฉพาะเรื่องความสุขทางเพศที่เน้นสร้างความเป็นแมนและศักดิ์ศรีให้ผู้ชาย แบกไว้ จนทำให้ผู้ชายหลงลืมเรื่องความปลอดภัยของตัวเองและการสื่อสารความรู้สึก ระหว่างคู่ ข้อมูลสุขภาพในส่วนอื่นๆถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวทั้งๆที่ความจริงแล้วชีวิต ทางเพศของผู้ชาย มีอะไรมากกว่าเพศสัมพันธ์

แต่ ด้วยความเชื่อแบบเดิมๆของวัยรุ่นเกี่ยวเรื่องเพศที่ถูกส่งต่อกันมาจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน รุ่นพี่ วงเหล้า ที่ส่วนใหญ่มักโอ้อวดประสบการณ์ทางเพศ ที่ไม่ใช่การพูดความจริงตรงข้ามกลับมุ่งเน้นความสุขทางเพศที่ว่าการ เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ มีเพศสัมพันธ์ครั้งละนานๆ และหลายๆครั้งเป็นการแสดงให้เห็นความสำคัญของคุณภาพของการมีเซ็กส์ โดยอิทธิพลทางความคิดส่งผลให้สุภาพบุรุษ หลงลืมดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของตนเอง นำไปสู่ชีวิตทางเพศที่เสี่ยงไม่ปลอดภัย

จากตัวเลขในปี 2550 พบสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยมีผู้ป่วย 11,619 คน เป็นโรคหนองในมากที่สุด รองลงมาคือ หนองในเทียม และซิฟิลิส ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-24 ปี อาชีพที่พบมากคือ รับจ้าง ค้าประเวณี และกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา โดยโรคหนองในซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่จะนำไปสู่การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ สิ่งที่น่ากังวลคือ กลุ่มนักเรียน/นักศึกษามีอัตราป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 คนในทุกๆประชากรแสนคน สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขายังขาดความเข้าใจชีวิตทางเพศของตนเอง

เมื่อ กระแสค่านิยมในหมู่วัยรุ่นโน้มนำไปในทิศทางใด การเลียนแบบทางพฤติกรรมของผู้ชายย่อมถูกชักจูงให้เห็นคล้อยตามไปด้วย อย่างการปรับแต่งอวัยวะเพศของผู้ชายด้วยการฝังมุก ฉีดน้ำมันมะกอก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชายและช่วยสร้างความพึงพอใจขณะ มีเซ็กส์ระหว่างตนเองกับคู่นอน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นทำให้อวัยวะเพศของคุณเป็นของประหลาดใน สายตาของคู่ บางคนอาจถึงกับกลัว และบางคนอาจรู้สึกเจ็บขณะร่วมเพศที่สำคัญทำให้ถุงยาอนามัยที่สวมใส่เกิดการ ฉีดขาดหรือใช้ไม่ได้เลย ซ้ำร้ายคุณอาจพิการได้ไม่รู้ตัว

เกี่ยวกับเรื่องนี้ศ.น.พ.อภิชาติ กงกะนันท์ ศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์สุขภาพชาย โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้อธิบายไว้ว่า ส่วนปลายของอวัยวะเพศโดยเฉพาะที่ยังมีหนังหุ้มปลายอยู่ ภายในจะบอบบางมากการกระทบกระแทก หรือ การทำให้เกิดความระคายเคืองกับบริเวณองคชาต โดยเฉพาะหัวแกนขององคชาต อาจทำให้เกิดตุ่มน้ำ เหมือนเกิดการพองเวลาโดนน้ำร้อนลวก จะทำให้เจ็บ แสบร้อน หากตุ่มน้ำใสแตกย่อมทำให้เป็นแผล และเมื่อดูแลไม่ดีก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและมีโอกาสติดเชื้อเข้าสู่ท่อ ปัสสาวะได้

ยิ่ง ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยด้วยแล้ว เท่ากับเพิ่มโอกาสเสี่ยงติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อีกเท่าตัว แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคติดต่อคงเป็นคำถามที่หนุ่มควรรู้ โดยหมั่นสังเกตว่ามีแผลเปื่อย บวม หรือตุ่มพองที่บริเวณอวัยวะเพศช่องทวารหนักหรือที่ปากไหม

ไม่เพียงเท่านั้น!! ควร สังเกตร่างกายว่ามีอาการแสบหรือเจ็บเมื่อปัสสาวะ มีหนองไหลจากอวัยวะเพศหรือทวารหนัก คันเจ็บ หรือไม่ เนื่องจากอาการพวกนี้อาจเป็นสัญญาณว่าคุณเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เสี่ยง เป็น โรคหนองใน โรคซิฟิลิส โรคหูด โรคเริม ฯลฯ ซึ่งโรคที่กล่าวมานั้นเกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียตัวการก่อผลเสียต่อ อวัยวะเพศของร่างกาย ขอแนะนำให้รีบไปพบแพทย์ทันทีแล้วอย่าลืมหาทางบอกคู่นอนของคุณให้ไปตรวจ สุขภาพด้วยเช่นกัน

ปัญหา มันอยู่ที่ว่า..หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่อาจไม่มีทางรู้เลยว่ากำลังติดโรคทางเพศ สัมพันธ์เข้าเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อาการลุกลามจนรักษายาก เพราะบางคนนั้น อาจไม่มีอาการอะไรนานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรืออาจเป็นปีหลังได้รับเชื้อ จะเป็นๆ หายๆ ถ้าเชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย ก็จะนำไปติดต่อไปสู่คนอื่นๆที่คุณมีเพศสัมพันธ์ด้วย

ด้วย เหตุนี้เกราะป้องกันชีวิตทางเพศให้ปลอดภัยและเป็นสุขได้นั้น อย่ามองข้ามเรื่องของการใช้ถุงยางอนามัยจะดีกว่า ที่สำคัญผู้ชายควรรู้ด้วยว่า........

การ ใส่ถุงยางอนามัยซ้อนกันไม่ได้ทำให้เซ็กส์ปลอดภัยขึ้นตรงข้ามกลับจะทำให้ถุง ยางเสียดสีกันและมีโอกาสที่จะรั่วหรือแตกได้ง่าย นอกจากนี้การใช้สารหล่อลื่นที่เป็นน้ำมันอาจทำให้ถุงยางอนามัยแตกได้ ต้องใช้เจลหล่อลื่นที่ทำจากน้ำเท่านั้นโดยทารอบๆ ถุงยางที่ใส่อยู่กับอวัยวะเพศแล้วและอย่าลืมถุงยางอนามัย เป็นของใช้เพื่อสุขอนามัยในการร่วมเพศ ควรใช้ทุกครั้งไม่ว่าจะมีเซ็กส์กับใครก็ตาม

เหนือ สิ่งอื่นใดชีวิตทางเพศของผู้ชายมีอะไรมากกว่าเพศสัมพันธ์......วันนี้เราจึง มีแนวทางดูแลสุขภาพเบื้องตนที่ผู้ชายทำได้ด้วยตัวเองมาฝากกันคะ ....หัวใจสำคัญอยู่ที่การดูแลใส่ใจวิถีชีวิตกินอยู่ง่ายๆแค่เพียง ดื่มน้ำทันที หลังตื่นนอนนั้นดีต่อสุขภาพ ( ควรดื่มก่อนแปรงฟัน ) เพราะน้ำลายในปากจะมีแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้ช่วยเรื่องการขับถ่ายแถมการดื่ม น้ำยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสู่ผิวคุณ


ตามมาด้วย อาหารเช้า หนุ่มๆ อาจมองว่าวุ่นวานเหลือเกินจึงเลือกที่จะไม่ทานมื้อเช้า แต่รู้หรือไม่คุณค่าอาหารมื้อเช้าช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพในหลายๆด้าน ทั้งเรื่องหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ และอัลไซเมอร์ ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนขอแนะนำให้ซื้ออาหารเตรียมไว้ตอนเย็นแล้วอุ่นรับประทานใน ตอนเช้าก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งเพื่อสุขภาพ ไม่ว่ายังไงในหนึ่งวันควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยนะคะ

และที่สำคัญคือแบ่งเวลาออกกำลังกาย เรียก ความฟิตเพิ่มภูมิต้านทานโรคแก่ร่างกาย ลองทำกิจกรรมออกกำลังกายกลางแจ้งบ้างก็ได้ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือฟุตบอล ก็เข้าท่าดีเสริมกล้ามเนื้อแขนขาแบบฉบับลูกผู้ชายพร้อมปรับเปลี่ยนความคิด หัดมองโลกในแง่ดี ^_^

เพียง เท่านี้คุณก็เป็นผู้ชายที่สุขภาพดีได้ทั้งกายใจ ซึ่งยังไม่สายเกินไปที่เพศชายจะหันมาใส่ใจดูแลสุขภาวะทางเพศไปพร้อมๆ กับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สร้างฐานชีวิตเพศที่ปลอดภัยของตัวคุณ…..

เรื่องโดย: กิตติยา ธนกาลมารวย Team content www.thaihealth.or.th

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/14312

“โรคพิษสุนัขบ้า” อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ไม่แน่ใจปรึกษาแพทย์ด่วน

พิษสุนัขบ้า หลาย คนคงจะไม่รู้สึกตื่นกลัวกับโรคนี้สักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าเกิดจากการถูกหมาจรจัดกัด และมันคงจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากไม่ทะเลอทะล่ามากไปนัก แต่ล่าสุดทำเอาถึงกับอึ้งและต้องหันมาสนใจกับโรคนี้อีกครั้ง!! เมื่อเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ที่มีงานอดิเรกเป็นคนขายสุนัขในตลาดนัดชื่อดัง เสียชีวิตด้วย โรคพิษสุนัขบ้า จากการถูกหมาของตนเองกัด ทั้งที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อสถิติโรคพิษสุนัขบ้าในปีนี้มีแนวโน้มสูงน่ากลัวมาก เมื่อปี 51 มีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า 9 คน ปี 52 สูงขึ้นเป็น 25 ส่วนปี 53 เพิ่งต้นปีเสียชีวิตไปแล้วถึง 6 คน

จาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ยงสุนัข จำเป็นต้องหันมาทำความเข้าใจกับโรคนี้อย่างลึกซึ้งอีกครั้งว่า โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่เราเรียกกันตามอาการว่า โรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ เรบีส์ ไวรัส ทำ ให้เกิดโรคได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น คน สุนัข แมว ลิง ชะนี กระรอก ค้างคาว หนู ฯลฯ ถ้าเป็นแล้วเสียชีวิตทุกราย ในปัจจุบันยังไม่มียาอะไรที่จะรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้

ซึ่งคนเรานั้นจะสามารถติดโรคดังกล่าวจากสัตว์ได้ 2 ช่องทาง คือ ถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด ซึ่งเชื้อไวรัสจากน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรคจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูกกัด หรือ ถูกสัตว์ที่เป็นโรคเลีย โดยปกติคนถูกสัตว์ที่เป็นโรคเลีย จะไม่ติดโรคจากสัตว์เหล่านั้น นอกเสียจากว่าบริเวณที่ถูกเลียจะมีบาดแผลหรือรอยถลอกหรือรอยขีดข่วน โดยคนนั้นไม่ได้สังเกต ในกรณีนี้จะทำให้สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ รวมทั้งถูกเลียที่ริมฝีปากหรือนัยน์ตาอีกด้วย

โดยผู้ที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้านั้น จะมีอาการทางประสาท โดยเฉพาะระบบประสาทส่วนกลาง ในระยะ 2-3 วันแรก อาจมีไข้ต่ำๆ ต่อไปจะมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คันหรือปวดแสบปวดร้อนตรงบริเวณแผลที่ถูกกัด ทั้งๆ ที่แผลอาจหายเป็นปกติแล้ว ต่อไปจะมีอาการตื่นเต้นง่าย กระสับกระส่าย ไม่ชอบแสงสว่าง ไม่ชอบลม และไม่ชอบเสียงดัง กลืนลำบาก แม้จะเป็นของเหลวหรือน้ำ เจ็บมากเวลากลืน เพราะการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืน แต่ยังมีสติพูดจารู้เรื่อง ต่อไปจะเอะอะมากขึ้น และสุดท้ายอาจมีอาการชัก เป็นอัมพาต หมดสติ และเสียชีวิต เนื่องจากส่วนที่สำคัญของสมองถูกทำลายไปหมด

เมื่อมันสามารถคร่าชีวิตคนไปแบบง่ายๆเช่นนี้ โรคพิษสุนัขบ้า คงจะไม่ใช่โรคเล่นๆ อีกต่อไป อย่างที่คนเราส่วนใหญ่คิดกันอยู่ ดังนั้น เมื่อถูกหมากัด สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ล้างแผล ด้วยสบู่กับน้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อล้างเชื้อออกจากบาดแผล ถ้ามีเลือดออกควรปล่อยให้เลือดไหลออก อย่าบีบหรือเค้นแผล เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจายไปส่วนอื่น หลังจากนั้นควร ใส่ยา เช่น เบตาดีน ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือ แอลกอฮอล์ 70 % เพื่อฆ่าเชื้อโรค อย่าใส่สิ่งอื่น เช่น เกลือ ยาฉุน ลงในแผล อย่างเด็ดขาด และไม่ควรเย็บแผล ถ้าจำเป็นควรรอไว้ 3-4 วัน ถ้าเลือดออกมากหรือแผลใหญ่อาจเย็บหลวม ๆ และใส่ท่อระบายไว้ และขั้นตอนสุดท้าย ควรรีบไปหาแพทย์หรือสัตวแพทย์ทันทีที่ถูกกัด เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนและเซรุ่ม อย่ารอจนสัตว์ที่กัดตาย เมื่อสัตว์ตายรีบตัดหัวส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ เราควรกักสัตว์ที่กัดไว้ดูอาการอย่างน้อย 15 วัน โดยให้น้ำและอาหารตามปกติ อย่าฆ่าสัตว์ให้ตายทันที เว้นแต่สัตว์นั้นดุร้ายกัดคนหรือสัตว์อื่นหรือไม่สามารถกัดสัตว์ไว้ได้ ถ้าสัตว์หนีหายไปให้ถือว่าสัตว์นั้นเป็นโรคพิษสุนัขบ้า

และหากเราไม่อยากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้วล่ะก็!!! หากบ้านคุณเลี้ยงสุนัขหรือแมวก็ไม่ควรปล่อยให้ออกมาเพ่นพ่าน เพราะสุนัขจรจัดที่อยู่ข้างถนนเป็นตัวแพร่เชื้อโรคที่สำคัญ อาจกัดคนที่เดินผ่านไปมาหรือกัดสุนัขอื่นทำให้เป็นโรคได้ นอกจากนี้แมวและหนูที่วิ่งเข้าวิ่งออกบ้านคุณเป็นว่าเล่นนั้น ก็ถือเป็นพาหะแพร่เชื้อนี้ที่สำคัญได้เช่นกัน หากสัตว์เลี้ยงของคุณเกิดไปกัด หรือโดนกัดเข้า ก็สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน...

อย่าปล่อยให้สุนัขหรือแมวของคุณมีลูกมากจนเกินไป ควรทำหมันทั้งตัวผู้และตัวเมีย หรือฉีดยาคุมกำเนิดให้สัตว์เลี้ยงเพศเมีย เพราะหากเลี้ยงไม่ไหว อาจต้องนำไปปล่อยให้กลายเป็นสุนัขจรจัดและเป็นปัญหาของสังคมต่อไป และควรไปฉีดวัคซีนป้องกันทุกปี ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าของสัตว์ตามพระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า 2535 ที่จะต้องนำสุนัขอายุระหว่าง 2-4 เดือน ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และฉีดซ้ำตามที่สัตวแพทย์กำหนดอีกด้วย...

เพียงเท่านี้คุณก็จะไม่เสี่ยงต่อการเป็นโรคพิษสุนัขบ้าอย่างแน่นอน...
ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/14314

Tuesday, March 9, 2010

หลอดเลือดสมองตีบ รอดได้ต้องรีบหาหมอ

ภายใน 3 ชั่วโมง โอกาสรอดสูง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้จะมีผู้โชคร้ายจำนวนมากต้องทุกข์ทรมานและเสียชีวิตจากการเป็นโรคอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือ "โรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน" ซึ่งก็มีสาเหตุหลักๆ มาจากโรคความดันสูงและเบาหวาน แต่ปัจจุบันกลับพบว่าหากผู้ป่วยหรือญาติคนไข้รู้ตัวแล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องภายใน 3 ชั่วโมง มีโอกาสรอดได้



นพ.จิระพัฒน์ อุกะโชค หัวหน้าศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 3 โรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน คือโรคที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อสมองน้อยลง จนเนื้อสมองส่วนนั้นขาดเลือด ขาดออกซิเจน และสารอาหารต่างๆ ส่งผลให้เนื้อสมองส่วนนั้นทำงานไม่ได้ และถ้าเป็นมากหรือนาน เนื้อสมองส่วนนั้นก็จะตายไปในที่สุด ทำให้เกิดอาการต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าเนื้อสมองส่วนใดขาดเลือดไปเลี้ยง ก็จะแสดงอาการของเนื้อสมองส่วนนั้น อาการที่พบบ่อยก็คือ แขนขาหรือใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งชา อ่อนแรงลงหรือขยับไม่ได้เลย เดินเซ เห็นภาพซ้อน พูดไม่ชัด กินสำลัก พูดไม่ได้หรือพูดไม่เป็นภาษา ฟังคนอื่นพูดไม่เข้าใจ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดหรือรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที หรือบางคนเกิดขึ้นขณะนอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีอาการเหล่านี้แล้ว อาการอื่นๆ ที่อาจพบร่วมด้วยได้แก่ ปวดหัว เวียนหัว และอาเจียน สำหรับในรายที่เป็นมากอาจมีอาการซึมลงด้วย

"ดังนั้นญาติหรือคนใกล้ชิดพบว่าผู้ป่วยมีอาการต่างๆ เหล่านี้ให้รีบมาพบแพทย์ภายใน 3 ชั่วโมง เนื่องจากเนื้อสมองเป็นเนื้อเยื่อที่ไม่สามารถทนการขาดเลือดและออกซิเจนได้นาน ถ้าไม่มีเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์สมองจะทนได้เพียงประมาณ 5 นาทีเท่านั้นก็จะตายไป ถ้ามีเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงบ้าง แต่ไม่เพียงพอเซลล์สมองก็อาจจะทนได้ประมาณ 3 ชั่วโมงแล้วก็จะตาย จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ เพื่อการรักษาและให้ยาที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการลดอัตราการเกิดโรคอัมพฤต อัมพาต หรือเสียชีวิตได้ดีที่สุด" หัวหน้าศูนย์สมองและระบบประสาท กล่าวย้ำ

ทั้งนี้ นพ.ได้กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีรักษาใดที่จะทำให้เนื้อสมองส่วนนั้นฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ ดังนั้น การให้ยาเพื่อละลายลิ่มเลือดหรือสิ่งที่อุดตันหลอดเลือดสมอง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเนื้อสมองได้อีกก็จะไม่มีประโยชน์ เพราะช้าเกินไป เนื้อสมองตายไปแล้ว และอาจมีผลเสีย เพราะเนื้อสมองส่วนที่ตายไปอาจทนเลือดที่ไหลเข้าไปเลี้ยงใหม่ไม่ได้อาจเกิดเลือดตกในเนื้อสมองส่วนที่ตายนั้น ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ที่มาhttp://www.thaihealth.or.th/node/9276



อัมพฤกษ์-อัมพาต โรคเรื้อรังที่ต้องดูแล

ตระหนัก-ลดเสี่ยง-เลี่ยงได้


เป็นที่ตระหนักกันว่า อัมพฤกษ์อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ทั่วโลก และเป็นสาเหตุที่สำคัญของความพิการที่รุนแรง ข้อมูลทางสถิติพบว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดใหม่ทั่วโลกราว 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคน เสียชีวิต และอีก 5 ล้านคน กลายเป็นคนพิการอย่างถาวร


สำหรับในประเทศไทยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตาย หรือพิการสูงเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย รองจาก โรคเอดส์ และ อุบัติเหตุ และสูงเป็นอันดับ 2 ในเพศหญิงรองจากโรคเอดส์ จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลก
อัมพฤกษ์อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.สมองขาดเลือด พบประมาณ 70-80% ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบหรืออุดตัน ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ ภาวะหัวใจวายหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โรคเลือดบางอย่าง เช่น ภาวะเลือดข้นผิดปกติ เกล็ดเลือดสูง เม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอยู่เป็นเวลานานจะเป็นผลให้ผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เกิดการตีบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดเกิดอัมพาตตามมาในที่สุด โดยผู้ป่วยเหล่านี้มักมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย
2.หลอดเลือดสมองแตก เมื่อเกิดการแตกของหลอดเลือดสมอง ก้อนเลือดจะเบียดดันเนื้อสมองส่วนที่ดีทำให้เสียหน้าที่เซลล์สมองทำงานผิดปกติ เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา ภาวะนี้มักสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังเกิดจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาบางชนิด
อาการของอัมพฤกษ์อัมพาต หากมีอาการในข้อหนึ่งข้อใดดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น

1.มีอาการชาหรืออ่อนแรงของแขนขา หรือใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง
2.ตาข้างใดข้างหนึ่งมัวหรือมองไม่เห็น
3.พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือไม่เข้าใจคำพูด
4.มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
5.มีอาการมึนงง หรือเดินไม่มั่นคง เสียศูนย์


การรักษา การรักษาให้ได้ผลดีขึ้นอยู่กับ
1.เวลายิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้มาก
2.ความรุนแรงของโรคที่เป็น ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงน้อยจะมีโอกาสหายได้สูงกว่า
3.ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคที่เหมาะสมและยาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นปัจจัยที่สำคัญของผลการรักษา
ดูแลอย่างไรไม่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เรื่องการดูแล มีความสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
1.การรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การงดสูบบุหรี่
2.การป้องกันการกลับเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
3.การลดอาหารไขมัน โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว อาหารเค็ม กินผักและผลไม้ให้มาก
4.จำกัดการดื่มสุรา เบียร์
5.รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
6.ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ

ได้มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคอัมพาตเกิดขึ้นในประเทศไทย ปีละ 150,000 ราย ถ้าการรณรงค์ป้องกันได้ผล จะทำให้ผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ปลอดจากโรค ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ต่อคน คิดเป็นเงินประมาณ 100,000 บาท ต่อปี ดังนั้น การป้องกันอัมพาตอย่างต่อเนื่องและจริงจังจะสามารถประหยัดเงินประเทศชาติได้ถึงปีละห้าพันล้านบาท

ดังคำกล่าวจากสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทยว่า “อัมพฤกษ์ อัมพาต ตระหนักลดเสี่ยง เลี่ยงได้”

ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

9 ปัจจัยเสี่ยง ‘หลอดเลือดสมอง’



ชี้เหล้า-บุหรี่-อ้วน ตัวการก่อโรคร้าย
โรคหลอดเลือดสมองหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่พบบ่อยเป็นอันดับสามรองจากโรคหัวใจและโรคมะเร็ง พบได้โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เมื่อเกิดโรคแล้วจะก่อให้เกิดอาการต่างๆ ทางระบบประสาท ซึ่งเป็นโรคที่มีความผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่อาจเป็นได้ทั้งหลอดเลือดสมองตีบ

เกิดจากการที่มีไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือด หรือมีการอุดตันของหลอดเลือดสมองจากการที่มีลิ่มเลือดลอยไปอุดตันหลอดเลือดที่มีความเปราะบางกว่าปกติ ทำให้เนื้อสมองบางส่วนถูกทำลายไป ส่วนมากผู้ป่วยจะมีความผิดปกติของระบบประสาทเกิดขึ้นทันทีทันใดเมื่อมีการอุดตันหรือมีการแตก ของหลอดเลือดสมอง
เราจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง ดังนี้
1. ความดันโลหิตสูง ภาวะความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดเสื่อม เนื่องจากแรงดันเลือด ที่ออกมาจากหัวใจมีแรงดันสูงขึ้น ทำให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมเร็ว ขาดความยืดหยุ่น และแตกเปราะง่าย พบว่ากว่า 35 - 73% ของผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
2. เบาหวาน เป็นปัจจัยสำคัญรองมาจากภาวะความดันโลหิตสูง
3. ความอ้วน ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก มีโอกาสเป็นเบาหวาน และความดันโลหิตสูง หรืออาจเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง
4. ไขมันในเลือดสูง ทำให้ผนังเส้นเลือดแดง ไม่ยืดหยุ่น เกิดการตีบตันง่าย เลือดจึงไหลผ่านไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อย ถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง จะทำให้สมองขาดเลือดและเป็นอัมพาตในที่สุด
5. การสูบบุหรี่และดื่มสุรา การดื่มสุราจะทำให้หลอดเลือดเปราะ หรือเลือดออกง่ายเช่นเดียวกับผู้ที่สูบบุหรี่จะพบว่ามีอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
6. ความเข้มข้นของเลือด ถ้ามีฮีโมโกลบินสูงกว่าปกติ ก็มีโอกาสเกิดโรคได้
7. โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจวาย โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ
8. ยาต่างๆ เช่น สตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดร่วมกับเป็นความดันโลหิตสูง
9. อายุที่มากขึ้น จะมีความสัมพันธ์ต่อการเสื่อมของหลอดเลือด
เมื่อเราได้ทราบถึงอันตรายของโรคหลอดเลือดแล้ว จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองขึ้นกับตัวเราหรือคนใกล้ชิด ถ้าไม่อยากเสียชีวิตหรือเป็นผู้พิการไปตลอดชีวิตโปรดใส่ใจสุขภาพสักนิด เพื่อชีวิตที่ยืนยง


ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

นอนดึกๆ ระวัง


นอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย


ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตายการนอนดึกเป็นเหตุให้ อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับเครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง
วิธีแก้ไข ในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก 1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า 2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้
ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระ จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้า อดนอน แล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษอะไรต่าง ๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกาย ย่อย ไม่หมด เพราะล้า
แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียว ๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้เราหลับไปแล้ว แต่ ลำไส้ ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทาน ไข่ นม แทนพวก เนื้อสัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวาร จะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนมแทนไข่)
ท้องผูก มี 2 ลักษณะ 1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง 2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหาร ล้า ทำให้ไม่มีแรงบีบให้ออกจนหมด
ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรค ที่จะตามมาก็คือ ผื่น คันบริเวณ ขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความสกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่ง แข็ง กึ่ง เหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาใน ลำไส้ ซึ่งมันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้ น้ำเหลือง เสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อน ๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจากท้องผูกนั่นเอง
เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมาได้เร็ว
ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วยทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทาน น้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผงเป็นซอง ๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมาก ๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะ อืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หาถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะ ชา
ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะ ปัสสาวะ ครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวก เกลือแร่ ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่
แนวทางแก้ไข ให้ทาน แคลเซี่ยม เม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่ กระดูกงอก ทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง
สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง
การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติม เกลือ ในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทาง ปัสสาวะ และ เหงื่อ เราทานเกลือมาก ๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดง ๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการ ก็จะเหมือนกับการโม่แป้งฝืด ๆ ลำไส้ บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ ถ่าย สบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้ กรดยูเรีย เข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อย ๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด
ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้า เหงื่อ ไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนัง จะถามหา สิวฝ้า จะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไต เลยทำงานหนัก
ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลก เลือดดำ ให้เป็น เลือดแดง ได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ได้
แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวาน ๆ ตอนอยู่ดึก ๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้เพิ่มรูปภาพ อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้ สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรง ๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลาย ๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ ผิวแตก ถ้าคันมาก ๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้าเราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย
เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าหักโหมทำงานมากไปจนลืมดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองด้วยแล้วกันขอขอบคุณรูปจาก 4.bp.blogspot.com
ที่มาhttp://www.kanzuksa.com/Radio.asp?data=201