อัมพฤกษ์-อัมพาต โรคเรื้อรังที่ต้องดูแล
คุณภาพชีวิต
ตระหนัก-ลดเสี่ยง-เลี่ยงได้
เป็นที่ตระหนักกันว่า อัมพฤกษ์อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ทั่วโลก และเป็นสาเหตุที่สำคัญของความพิการที่รุนแรง ข้อมูลทางสถิติพบว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดใหม่ทั่วโลกราว 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคน เสียชีวิต และอีก 5 ล้านคน กลายเป็นคนพิการอย่างถาวร
คุณภาพชีวิต
ตระหนัก-ลดเสี่ยง-เลี่ยงได้
เป็นที่ตระหนักกันว่า อัมพฤกษ์อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุการตายอันดับ 3 ทั่วโลก และเป็นสาเหตุที่สำคัญของความพิการที่รุนแรง ข้อมูลทางสถิติพบว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดใหม่ทั่วโลกราว 10-15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 5 ล้านคน เสียชีวิต และอีก 5 ล้านคน กลายเป็นคนพิการอย่างถาวร
สำหรับในประเทศไทยสถิติจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการตาย หรือพิการสูงเป็นอันดับ 3 ในเพศชาย รองจาก โรคเอดส์ และ อุบัติเหตุ และสูงเป็นอันดับ 2 ในเพศหญิงรองจากโรคเอดส์ จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คุกคามต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรทั่วโลก
อัมพฤกษ์อัมพาต หรือโรคหลอดเลือดสมอง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.สมองขาดเลือด พบประมาณ 70-80% ของผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาต เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองเกิดการตีบหรืออุดตัน ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ ภาวะหัวใจวายหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิด การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โรคเลือดบางอย่าง เช่น ภาวะเลือดข้นผิดปกติ เกล็ดเลือดสูง เม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอยู่เป็นเวลานานจะเป็นผลให้ผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เกิดการตีบหรืออุดตัน ทำให้สมองขาดเลือดเกิดอัมพาตตามมาในที่สุด โดยผู้ป่วยเหล่านี้มักมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย
2.หลอดเลือดสมองแตก เมื่อเกิดการแตกของหลอดเลือดสมอง ก้อนเลือดจะเบียดดันเนื้อสมองส่วนที่ดีทำให้เสียหน้าที่เซลล์สมองทำงานผิดปกติ เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา ภาวะนี้มักสัมพันธ์กับโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน นอกจากนี้ ยังเกิดจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาบางชนิด
อาการของอัมพฤกษ์อัมพาต หากมีอาการในข้อหนึ่งข้อใดดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองทั้งสิ้น
1.มีอาการชาหรืออ่อนแรงของแขนขา หรือใบหน้าข้างใดข้างหนึ่ง
2.ตาข้างใดข้างหนึ่งมัวหรือมองไม่เห็น
3.พูดลำบาก พูดไม่ได้ หรือไม่เข้าใจคำพูด
4.มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
5.มีอาการมึนงง หรือเดินไม่มั่นคง เสียศูนย์
การรักษา การรักษาให้ได้ผลดีขึ้นอยู่กับ
1.เวลายิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้มาก
2.ความรุนแรงของโรคที่เป็น ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงน้อยจะมีโอกาสหายได้สูงกว่า
3.ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคที่เหมาะสมและยาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นปัจจัยที่สำคัญของผลการรักษา
ดูแลอย่างไรไม่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เรื่องการดูแล มีความสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
1.การรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การงดสูบบุหรี่
2.การป้องกันการกลับเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
3.การลดอาหารไขมัน โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว อาหารเค็ม กินผักและผลไม้ให้มาก
4.จำกัดการดื่มสุรา เบียร์
5.รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
6.ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
ได้มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคอัมพาตเกิดขึ้นในประเทศไทย ปีละ 150,000 ราย ถ้าการรณรงค์ป้องกันได้ผล จะทำให้ผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ปลอดจากโรค ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ต่อคน คิดเป็นเงินประมาณ 100,000 บาท ต่อปี ดังนั้น การป้องกันอัมพาตอย่างต่อเนื่องและจริงจังจะสามารถประหยัดเงินประเทศชาติได้ถึงปีละห้าพันล้านบาท
ดังคำกล่าวจากสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทยว่า “อัมพฤกษ์ อัมพาต ตระหนักลดเสี่ยง เลี่ยงได้”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
1.เวลายิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสหายเป็นปกติได้มาก
2.ความรุนแรงของโรคที่เป็น ผู้ป่วยที่อาการรุนแรงน้อยจะมีโอกาสหายได้สูงกว่า
3.ความพร้อมของเทคโนโลยีในการรักษา โดยใช้อุปกรณ์หรือเทคนิคที่เหมาะสมและยาที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เป็นปัจจัยที่สำคัญของผลการรักษา
ดูแลอย่างไรไม่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต เรื่องการดูแล มีความสำคัญมากในการป้องกันไม่ให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
1.การรักษาและควบคุมปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การรักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การงดสูบบุหรี่
2.การป้องกันการกลับเป็นซ้ำด้วยการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
3.การลดอาหารไขมัน โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว อาหารเค็ม กินผักและผลไม้ให้มาก
4.จำกัดการดื่มสุรา เบียร์
5.รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
6.ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
ได้มีการคาดการณ์ว่า มีผู้ป่วยใหม่ที่เป็นโรคอัมพาตเกิดขึ้นในประเทศไทย ปีละ 150,000 ราย ถ้าการรณรงค์ป้องกันได้ผล จะทำให้ผู้ป่วยไม่ต่ำกว่า 50,000 ราย ปลอดจากโรค ซึ่งค่าใช้จ่ายที่ใช้รักษาสำหรับผู้ป่วยโรคนี้ต่อคน คิดเป็นเงินประมาณ 100,000 บาท ต่อปี ดังนั้น การป้องกันอัมพาตอย่างต่อเนื่องและจริงจังจะสามารถประหยัดเงินประเทศชาติได้ถึงปีละห้าพันล้านบาท
ดังคำกล่าวจากสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทยว่า “อัมพฤกษ์ อัมพาต ตระหนักลดเสี่ยง เลี่ยงได้”
ที่มา: หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
No comments:
Post a Comment